คำตอบที่ 154
ในรถญี่ปุ่นรุ่นตลาดทั่ว ๆ ไป ค่าดูแลในระยะ 0- 1 แสนกิโลเมตร จะอยู่ที่ 3x,xxx-5x,xxx บาท ถ้าวิ่งจนถึงระยะ ไม่เกิน 2 แสนโลก็จะเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อยประมาณ 2x,xxx-4x,xxx บาท อัตราค่าดูแลตามระยะทางจะอยู่ไม่เกิน 6x,xxx -9x,xxx บาท รวมระยะ 1 แสนกิโลเมตรแล้ว คือรถตลาดจะเสียค่าใช้จ่ายไม่เกินนี้สำหรับบ้านเรา ถูกแพงว่ากันตามยี่ห้อ แต่ผลสรุปคือจะไม่หนีจากนี้ไปกรณีเข้าศูนย์ทุกระยะ เพราะทุกค่ายรถยนต์ต่างชูจุดแข็งในเรื่องการบริการหลังการขายและค่าซ่อมบำรุงรักษาสำหรับรถตลาด ในรถ Ford Chevrolet ก็พยายามที่จะแข่งขันกับรถญี่ปุ่นในเรื่องค่าดูแลตามระยะทาง จึงได้กำหนดให้รถเข้าเช็คระยะที่ 15,000 km เพือลดค่าใช้จ่ายของลูกค้าลงให้สามารถเปรียบเทียบแข่งขันกับค่ายญี่ปุ่นได้ เพราะ 2 ค่ายนี้ค่าบริการแพงเอาเรื่องถ้ากลับมาเช็คที่ระยะ 10,000 kmจะสู้คู่แข่งไม่ได้ จึงต้องใช้การยืดระยะออกไป เรื่องน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ยังไงทุกยี่ห้อก็ใช้ได้เกิน 1 หมื่นโลสามารถลากยาวได้ แต่ยาวกว่านี้ก็ไม่ไหวเพราะบ้านเราไม่เหมือนเมืองหนาว ค่ายรถญี่ปุ่นจะกำหนดให้เช็คระยะ 15,000 km จะกำหนดการเข้าเช็คระยะตามฟอร์ด หรือเชฟโรเลตก็ทำได้เพราะน้ำมันเครื่องอยู่ได้แต่ทุกค่ายก็ไม่ทำเพราะถือว่าค่าบริการดูแล ถูกกว่าฟอร์ดและเชฟโรเลตอยู่แล้ว เพราะ 2 ค่ายอเมริกันนั้นขนาดเช็คระยะที่ 15000 โลค่าบริการยังถือว่าแพงจัดเอาเรื่อง เหมือนเข้าศูนย์โตโยต้า 2 ครั้งแต่ค่าบริการ รวมอยู่ในรถอเมริกันเข้าศูนย์ครั้งเดียว ส่วนเรื่องความทนทานการบำรุงรักษาตามระยะทาง รถอเมริกันไม่ได้ทนทานไปกว่ารถญี่ปุ่นเลย พูดง่าย ๆ บางตัวเสียหายเร็วกว่ารถญี่ปุ่นอีกและจุกจิก คนต่างชาติเองในต่างประเทศจึงหันมาหารถค่ายญี่ปุ่นมากขึ้น จะไปบอกว่ารถทนทานมากจนต้องยืดเวลาการเช็คระยะออกไปไกลกว่ารถญี่ปุ่นนั้น ไม่ใช่เหตุผลหลัก แต่เป็นเพราะค่าบริการถ้าเทียบตัวต่อตัวถือว่าแพงห่างกันมากถ้าไม่ทำแบบนี้แข่งขันกันไม่ได้ อีกทั้งงานในศุนย์ล้นมือ
- ถ้าเป็นรถยุโรปในกลุ่มแบรนด์เนม Benz BMW Volvo Audi Volksawagen Landrover ค่าบริการดูแลตามระยะทางจะอยู่ที่ 1xx,xxx - 3xx,xxx บาท สำหรับรถที่ใช้ไม่เกิน 4 ปี 1 แสนกิโลเมตร ถ้าใช้มากกว่า 5 ปี หรือมากกว่า 1 แสนกิโลเมตร อยู่ในระยะ 5-10 ปี 1 -2 แสนกิโลเมตรนับแต่ป้ายแดง ค่าบริการจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 2 แสนบาท คือเสียเงินตั้งแต่ป้ายแดงจนถึงเวลา 10 ปี จะอยู่ที่ประมาณ 3xx,xxx-5xx,xxx บาท จะมากน้อยกว่านี้ก็ไม่เท่าไหร่ ถึงแม้จะเข้าอู่นอกก็ตามที แต่ถ้าจะใช้เกินกว่านี้ก็ต้องพร้อมเสียมากกว่านี้หรือหาอะไหล่เองเพราะไลฟ์ไทม์ในการใช้รถยุโรปไม่เกิน 10 ปี เกินกว่านี้รถพร้อมเสียจุกจิกมากเพราะรถทำมาจากวัสดุรีไซเคิ้ลและอะไหล่หมดสภาพ รถยุโรปเดี๋ยวนี้มันไม่ได้ทนทานเหมือนสมัยเบนซ์ W124 โลงจำปา แต่เมื่อมันเก่าแล้วคือหมดระยะรับประกัน 3- 5 ปี ต้องซ่อมจุกจิกกว่ารถญี่ปุ่นและเรทค่าซ่อมมีค่าใช้จ่ายแพงกว่ารถญี่ปุ่นตามที่แสดงข้างต้น ค่าซ่อมจะค่อนข้างแพง ค่ายรถยนต์ทางฟากยุโรปจึงชูจุดขายที่มีวารันตีซ่อมฟรีสำหรับรถในประกัน 0-3 ปี หรือ 0-5 ปีลูกค้าไม่ต้องจ่ายอะไรเลยใช้งานอย่างเดียว เพื่อตัดค่าใช้จ่าย 1xx,xxx - 3xx,xxx บาท สำหรับรถที่ใช้ไม่เกิน 4 ปี 1 แสนกิโลเมตร ตัวนี้ออกไป แล้วยืดระยะเวลาการเช็คระยะเป็น 15,000 km เพราะทราบดีว่าเกินกว่านี้ลูกค้าจะไม่ถือครองรถเอาไว้อีก ต้องมีการเปลี่ยนมือ รถยนต์ในยุโรปไม่จำเป็นต้องทนทานอีกต่อไป พออายุเข้าใกล้ 10 ปี ต่อให้สภาพดีแค่ไหนไลฟ์ไทม์การใช้งานของรถยนต์ในกลุ่มยุโรปก็มักจะหมดลงไปด้วย ( ยกเว้นรถเพื่อการสะสมจึงควรเก็บไว้ใช้งานต่อ )