WeekendHobby.com
เครื่องมือในการใช้งาน website =>> สมัครสมาชิก | Login | Logout | เปลี่ยนไอคอนส่วนตัว | เกี่ยวกับเรา | ติดต่อโฆษณา         View stat by Truehits.net


ร่วมย้อนรอยทริปน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น กาญจนบุรี
two
จาก ฝ่ายข่าว@WeekendHobby.Com
IP:58.11.21.79

พฤหัสบดีที่ , 31/7/2557
เวลา : 11:02

อ่านแล้ว = 120 ครั้ง
แจ้งตรวจสอบกระทู้ แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน ส่งหาเพื่อน

       ทริปที่สองน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น กาญจนบุรี

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น จ.กาญจนบุรี
เจอกันครั้งที่.2 คราวนี้ตัวหนอนขออาสานำเที่ยว ในสไตร์นอกถนนเช่นเคย คราวนี้ไปกันที่ จ.กาญจนบุรี ครับทริปนี้เริ่มต้นด้วยดี ไม่มีสายฝนโปรยปรายลงมาเหมือนทริปแรกที่ไปชุมพร เช้ามืดของวันที่ 15 ก.ค.43 พวกเราเก็บข้าวของที่จัดเตรียมกันมาเป็นอย่างดีเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ขึ้นสู่หลังคา เชอโรกี คันเก่งของพวกเรา ปาเข้าไปเกือบตีห้าครึ่งแล้วเพื่อนๆ รีบเร่งเริ่มออกเดินทางกันได้แล้วมุ่งสู่ กทม.ก่อนอันดับแรก โดยใช้เส้นทางบางนา-ตราด ผ่านทางด่วนขั้นที่.2 เพื่อไปตั้งต้นที่ เส้นทางสู่ภาคตะวันตก และ ภาคใต้ คือ ถนนสายพระปิ่นเกล้า-นครชัยศรี เราใช้เส้นทางนี้โดยตลอด ลัดเลอะผ่าน จ.นครปฐม จนถึงแยกขวามือ เลี้ยวเข้าสู่ตัวเมืองกาญจนบุรี ตอนนี้ชักหิวแล้วสิเพื่อน แวะทานผัดไทยห่อไข่ชื่อดังก่อนเข้าตัวเมืองก่อนดีกว่า ร้านที่ว่านี้อยู่ก่อนเข้าตัวเมืองกาญฯนะเพื่อนๆ ถ้ามองเห็นปั้มน้ำมัน Q8 ทางด้านซ้านมือเมื่อไร ก็ร้านจะอยู่แถวๆนั่นล่ะครับ ลองสืบหาดู อิ่มหน่ำสำราญแล้วออกเดินทางต่อ มุ่งหน้าสู่จุดหมาย " น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น " เราใช้เส้นทางเข้าเมืองเดิม ผ่านไปยังสะพานข้ามแม่น้ำแคว สะพานแห่งประวัติศาสตร์ ไม่แวะไม่ได้แล้ว ตกลงแวะลงบันทึกภาพเป็นที่ระลึก พร้อมจับจ่ายของฝาก ได้เวลาพอสมควรแล้วเพื่อน ๆ เดินทางต่อ โดยใช้เส้นทางที่มุ่งหน้าสู่ อ.ศรีสวัสดิ์ เพื่อผ่านเข้าทางเขื่อนศรีณครินทร์ เกือบลืมไปพวกเรา ยังไม่มีสะเบียง สำหรับ 2 วัน สองคืนในผื้นป่าเลย ว่าแล้วแวะตลาดเพื่อหาสเบียง ของสด ของแห้ง ของคาว ของมึนเมา แล้วก็ที่ลืมสะไม่ได้น้ำมันต้องเต็มถึง+กับถังสำรองอีก เพราะเราอาจต้องเดินผ่านเข้าทุ่งใหญ่นเรศวร ซึ่งติดต่ออาณาเขตครอบคุม3จังหวัด จัดเตรียมสเบียงเรียบร้อยแล้ว เราก็มุ่งหน้าต่อ โดยเข้าทาง เขื่อนศรีนครินทร์ แวะเก็บภาพบนสันเขื่อนกันหน่อยดีกว่า เข้าห้องน้ำห้องท่ากัน จะต้องไปอีกไกลพวกเรา ว่าแล้วเดินทางเข้าตัว
น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น โดยผ่านเส้นทางเข้าน้ำตกเอรวัณ ไปอีกประมาณ 46 กิโลเมตร เส้นทางนี้ไม่เท่าไรครับ ถนนไม่ถึงกับต้องใช้ 4x4 ก็ได้ ถ้าเพื่อนๆต้องการจะไปชมน้ำตก หรือ จะใช้อีกเส้นทางก็ได้นะครับ โดยมุ่งหน้าไปให้ถึง อ.ศรีสวัสดิ์ แล้วจะมีแพยนต์ นำรถข้ามลำน้ำมา จนถึงปากทางเข้าน้ำตก ทางนี้ก็สะดวกไปอีกแบบสำหรับผู้ที่รักรถ
มาถึงจนได้ " น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น " เรามาถึงที่หมายประมาณเวลา บ่าย3โมงเย็น พวกเราเลือกทำเลกางเต้นท์ที่บริเวณ น้ำตกชั้นที่.4 ซึ่งทำเลที่เราเลือกกางเต้นท์นี้ สามารถมองเห็นพระอาทิตย์โผล่พ้นจากปลายน้ำของแนวเขื่อน บรรยากาศในยามเย็น และ ยามเช้าจัดว่า สวยงามไม่แพ้ที่ไหนๆ ที่เราเดินทางผ่านพ้นมาเลย ช่วยกันคนล่ะไม้ล่ะมือ ที่กางก็กางไป ที่หุงหาจัดเตรียมก็ทำไป พร้อมแล้วเต้นท์3หลัง ยังไม่ค่ำเลยพวกเรา เล่นน้ำตก ชำระร่างกายกันดีกว่าเดี๋ยวค่อยมาหุงหาข้าว-ปลา ว่าแล้วลุย! เล่นน้ำตกสบายใจ จวนค่ำแล้วพวกเราทำกับข้าวกินกันดีกว่า มื้อนี้จะมีอะไรเนี๊ย? หมึกแดงว่าไงครับ อ้อ...หมึกแดงบอกว่า ค่ำนี้มี ไก่กระเทียม, ต้มยำไก่บ้าน, ไข่เจียวของตาย อิ่มกันเป็นที่เรียบร้อย ติดสอยห้อยตามด้วยวิสกี้ชั้นดี...หงส์ทอง สิพี่แน่จริง เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศลูกทุ่งไง ได้เวลานอนจนได้ 5 ทุ่มกว่า ราตรีสวัสดิ์เพื่อน เต้นท์ใครเต้นท์มันนะ คืนนั้นสายฝนตกพร่ำๆทั้งคืน อากาศเย็นสบาย หลับปุ๋ยกันไปตามๆ(เพราะฤทธิ์วิสกี้รึป่าวไม่รู้นะ)
ตื่นๆๆๆๆ เช้าแล้ว มาดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน ฝนยังคงตกพร่ำๆเช่นเคย พวกเราตื่นจากหลับไหล ล้างหน้าแปรงฟัน และ ผักผ่อนตามอัธยาศัยท์ จนตะวันสายโด่ เก็บเต็นท์กันเตรียมเดินทางต่อ แต่ไงขออาบน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นอีกครั้งก่อนกับนะ ว่าแล้วโดดตูม! สบายล่ะทีนี้ หาข้าวทานกันก่อน ดีกว่าหลังจากอาบน้ำแล้ว พร้อมเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกอีกครั้ง
พวกเราเริ่มปรึกษากันต่อว่า จะไปไหนกันต่อดีวันนี้ จากรายละเอียดของอุทยาน น้ำตกคลิตี้ เป็นเส้นทางที่น่าสนใจ และพวกเราก็เลือกที่จะไปผจญ ทันใดนั้น เจ้าหน้าที่อุทยานท่านหนึงเดินผ่านมาหน้าเต้นท์ที่พวกเราปรึกษากันอยู่ พวกเราจึงสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ท่านั้น " อย่าไปเลย..น้ำตกคลิตี้..น่ะ…หน้านี้เข้าไม่ได้หรอกถึงไปก็ไม่รอด ! " เจ้าหน้าที่อุทธยานน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นเตือนเราด้วยความหวังดี เมื่อรู้ว่าเราจะกำลังมุ่งสู่ผืนป่าตะวันตกด้านทุ่งใหญ่นเรศวร " เอางัยกันดีพวกเรา " พวกเราคณะเดิมปรึกษาหารือกันในช่วงเก็บสำภาระที่เหลือ
แต่ยังไงก็ต้องขอชมเชยทางอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ ไว้ ณ.โอกาศนี้ด้วย ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้วที่มาเยือนที่นี้มีการจัดการหลายอย่าง ที่เปลี่ยนไปในทางเชิงอนุรักษ์ที่มากขึ้นเช่น ช่วงหัวค่ำมีการฉายสไลด์ภาพชีวิตธรรมชาติที่พบในละแวกนั้นหรือการกำหนดเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ตลอดจนห้องน้ำ หรือ สถานที่ก็มีการดูแลรักษาเป็นอย่างดี..น่าชื่นชมจริงๆครับที่นี่…
เชอโรกีคันเดิมและคันเดียวต้วมเตี้ยมเข้าสู่ผืนป่าทุ่งใหญ่นเรศวรหลังจากทานอาหารเที่ยงเรียบร้อยแล้ว พวกเราใช้เส้นทางด้านทิศเหนือ เจอทางแยกก็เลี้ยวซ้ายผ่านด่านแรกที่หน่วยดงใหญ่ประมาณกิโลเมตรที่ 20 จากที่ทำการก็ได้ข้อมูลมาอีกว่ามีรถทหารยังติดอยู่ค้านในน้ำตกคลิตี้ และให้คำแนะนำพวกเราว่าควรไปที่อื่นดีกว่าเช่นน้ำตก ผาสรรค์ หรือผาตาดก็ได้ " ไปน้ำตกผาสวรรค์ละกันนะเอาไว้คราวหน้าถ้ามากันหลายคันค่อยไปน้ำตกคลิตี้กัน" เพื่อนเราคนหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวลใจในความหฤโหดของเส้นทางที่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร เลยมาอีกประมาณ 2 กิโลเมตรก็ผ่านด่านบ้านมอญ โดยมีคนมอญของแท้เดินมาเปิดด่านพร้อมกับรอยยิ้ม พร้อมทั้งเสียงเตือนในความลำบากของเส้นทาง ข้างหน้า …. " เอ๊ะชักยังงัยกัน "
มีแต่คนบอกว่าลำบากหรือไม่ก็ไม่อยากให้ไป…พวกเราดันเป็นพวกยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุซะด้วยซิ ….พวกเราผ่านลัดเลาะขอบป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ผ่านเหมืองเล็ก ๆ ที่ค้อนข้างจะเงียบและรกร้างดูแล้วเป็นบรรยากาศตะวันตกดีเหลือเกินจนมาโผล่แถวชุมชนเล็ก ๆที่ชื่อสะพานลาวที่มีสวนลำไย อยู่สองข้างทางโดยตลอดจนพวกเราอดไม่ได้ที่จะจอดแวะอุดหนุนจนได้ออกจากชุมชน ก็เลียวซ้ายเข้าทางป้ายน้ำตกผาสวรรค์
เส้นทางช่วงแรกดูเหมือนกับว่าพึ่งจะปรับหน้าดินโดยรถไถแต่ด้วยเพราะสายฝนที่ตกพรำ ๆ มาตั้งแต่เช้าทำให้การควบคุมรถทำได้ด้วยความลำบากมาก เชอโรกีคันเก่งเริ่มที่จะวิ่งส่ายไปส่ายมาตามช่องโคลนโดยที่สารถีของเราถึงกับเงียบไปทีเดียวเพราะต้องมุ่งมั่นสมาธิทั้งหมดกับ การควบคุมรถ เข้ามาได้ประมาณ 4 กิโลเมตรก็เจอถนนที่เป็นปลักโคลนยาวประมาณ 15 เมตรเห็นจะได้.. " เฮ้ยลองเดินลงไปดูซิว่าลึกหรือปล่าว " นายบี และ เพื่อนหนุ่ย เดินลงไปวัดระดับความลึกของโคลนตามเสียงบอกซึงดูแล้วน่าจะผ่านได้เพราะลึกแค่หัวเข่าเอง….เสียงคำรามของเครื่องยนต์ พาลำตัวอันอุ้ยอ้าย ด้วยสำภาระผ่านรองโคลนมาอย่างช้า ๆ จนเริ่มที่จะขึ้นจากปลักทันใดนั้นก็มีเสียง…ครืดดดดด…พวกเราพากันลงมาดูถึงได้รู้ว่า เพลาหลังของเราได้ติดแน่นกับเนิน กลางของ ปลักเข้าให้แล้ว
เสียม จอบ หรือ แม่แรงถูกเอาออกมาใช้งานอย่างเต็มความสามารถของมัน บางครั้งก็ต้องขึ้นไปขย่มรถกันเผื่อจะได้เคลื่อนตัวได้บ้าง ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างพวกเรา เวลาผ่านไปประมาณ 2 ชั่วโมงก็ยังเอารถออกไม่ได้….ทันใดนั้นก็มีเสียงเครื่องยนต์อีกคันหนึ่งมาจอดต่อปลักโคลน ผมหันไปเห็นว่ามีผู้ชายลงมาสองคนพร้อมทั้งถามว่า " ไปไม่ได้หรือพี่ …ลึกมั๊ย " รถปิคอัพคันนั้นไม่ได้มีอุปกรณช่วยเหลือพวกเราแต่อย่างใด ผมเห็นพวกเขาปรึกษาหารือกันและในที่สุดก็หันหัวกลับพร้อมทั้งบอกว่าจะบอกคนให้มาช่วยพวกเรา……
แสงแดดเริ่มเหลือน้อยลงพร้อม ๆกับเสียงหัวเราะหรือเสียงหยอกล้อก็หายไปด้วยเหมือนกันจนป่านนี้จนเย็นแล้วยังไม่มีใครมาช่วยเราเลย พวกเราทุกคนเริ่มจะแสดงสีหน้ากังวลจนเห็นได้ชัด…บริเวณนี้ไม่มีร่องรอยของชาวบ้านหรือคนเดินทางผ่านมาให้เห็นเลย…ที่ แห้ง ๆ ที่จะกางเตนท์ก็ไม่มี รอบตัวมีแต่โคลน กับ โคลน เท่านั้นจะมีก็เพียงแต่สายน้ำเล็ก ๆ ที่ไหลรินอยู่ข้างทาง…..." หุงข้าวกินกันเถอะพวกเรา…เดี๋ยวมืดแล้วจะลำบาก " เสียงพี่หนุ่ยเอ่ยอย่างเครียด ๆ ในชะตากรรมที่กำลังประสบอยู่
ข้าวของเริ่มขนทยอยลงมาจากหลังรถโดยยึดเอาที่ว่างริมลำธารเพียง 2 ถึง 3 ตารางฟุตเป็นที่หุงหาอาหารกัน…และแล้วความมืดก็เริ่มคืบคลาน เข้ามาพร้อมกับเสียงแมลงที่เริ่มร้องระงมกันไปทั้งป่า… แสงสว่างจากตะเกียงแก๊ส ช่วยพวกเราได้มากในเวลานี้ พวกเราปรึกษาว่าพร่งนี้เช้าเราคงต้องมีคนซัก 2 คนเดินเท้าออกไปตามหาชาวบ้านให้มาช่วยพวกเรา….
เวลาล่วงเลยมาประมาณ 3 ทุ่มป่าตอนนี้เงียบสงัดไปหมดนาน ๆจะมีเสียงเคลื่อนไหวของอะไรก็ไม่รู้ตามราวป่าที่ทำให้พวกเราเปลี่ยนใจ เข้าไปนั่งในรถแทนเพราะเริ่มที่จะกลัวเจ้าของเสียง เหล่านั้นกระจกถูกเลื่อนมาปิดเกือบหมดเหลือเพียงแค่ช่องเพียงเล็กน้อยให้พอหายใจได้… เสียงใครบางคนเสนอให้ปิดไฟเพื่อ ประหยัดพลังงานแต่แล้วก็ต้องเปิดขึนมาเหมือนเดิมเพราะความกลัวในความมืดของป่าในตอนนั้น…. ทุกคนคงเริ่มคิดออกว่าการติดป่า เนี่ยมันน่ากลัวขนาดไหนก็ตอนนี้นี่เอง….
ผมเริ่มตื่นจากภวังค์เพราะความร้อนอบอ้าวในตอนนั้นดูเหมือนว่าฝนกำลังจะเทลงมาอีก…." เพื่อนบีถาม กี่โมงแล้ววะ..หนอน " ผมตอบกับด้วยความงงๆอยู่เหมือนกันว่าพึงจะเที่ยงคืนเอง…..พวกเราติดอยู่ที่นี่มา 9 ชั่งโมงแล้ว !!!! เพื่อนบีเปิดหน้าต่างรถเพื่อที่จะสำผัสอากาศภายนอกพร้อมทั้งคงจะคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่…..ทันใดนั้น..ก็มีเสียงเครื่องยนต์คำรามมาพร้อมกับแสงไฟที่ส่อง สว่างมาตามราวป่า…เฮ้ยยยยยยย…มีรถมาโว๊ย…เปิดไฟฉุกเฉินเร็ว…เพื่อนบีตะโกนก้อง ท่ามกลางแสงไฟสปอร์ตไลท์ทีส่องสว่างจ้ามาจาก หลังคารถมีเสียงตะโกนออกมาว่า " รถติดหล่มหรือครับ…. ท้ายรถมีหูลากมั๊ย…ผมมีวินซ์จะลากออกมาให้ " สักอึดใจก็มีเสียงสวบสาบลุยบ่อโคลนของชายแปลกหน้าสองคนที่มาเหมือนกับพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยพวกเรา….
ถึงตอนนี้ กำลังใจที่เหือดแห้งไปก็กลับมาพร้อมกับเสียงหัวเราะโดยทันทีทันใดเหมือนกัน…
สายวินซ์ที่ถูกนำมาเกี่ยวกับแหนบหลังเริ่มกว้านรถของเราออกจากปลักโคลนพร้อมกับเสียงไชโยลั่นป่าของพี่หนุ่ย…. ." เอางัยจะไปกับผมต่อหรือจะถอยกลับ " เสียงพี่เอ๋กับพี่ทุมที่พวกเรามารู้ชื่อตอนหลังถามพวกเราหลังจากช่วยพวกเราขึ้นมาได้….พวกเราตกลงไปกันต่อเพราะกลัวว่ากลางดึกอย่างนี้จะไปติดที่ไหนอีก เพราะสายฝนเริ่มหนักขึ้นมาทุกที….ตกลงพวกเราเริ่มเคลื่อนขบวนกันต่อไปลึกเข้าไปในป่าอีกโดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่น้ำตกผาสวรรค์ที่มีเสียง ร่ำลือว่ายิ่งใหญ่และสวยงามมาก
เวลาล่วงเลยมาตี 3 แล้วพวกเรายังคืบหน้ามาได้เพียง 2 - 3 กิโลเมตรจากจุดที่เราติดอยู่เส้นทางช่วงนี้ขึ้นเขาชันมากบวกกับดินโคลนที่โดนสายฝนกระหน่ำอยู่ ทำให้รถของพวกเราส่ายไป ส่ายมาจนต้องคอยประคองและพลักดันไม่ให้ตกร่องน้ำข้างทางจนเวลาล่วงมาตี 4 แล้วพวกเราทำระยะทางได้แค้ 3 กิโลเมตรต่อ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา " ถอยเถอะว่ะ…คราวหน้าค่อนมาใหม่ " พี่เอ๋กับพี่ทุมกล่าวสรุปอย่างหมดหวังกับการที่จะเอาชนะธรรมชาติให้ได้….พวกเราใช้เส้นทางเดิมย้อนกลับออกมา แต่คราวนี้ยากกว่าขามาเพราะสายฝนที่ตกหนักอยู่ทำให้เกิดเส้นทางสายน้ำใหม่มากมายระหว่างทาง การควบคุมรถเป็นไปอย่างลำบากมากกว่าเดิม… ถึงตอนนี้มอบหน้าที่ให้เพื่อนบี รับหน้าที่เป็นพลขับ เบรกถูกยกเลิกใช้งานด้วยสาเหตุที่เส้นทางลื่นเกินไปที่จะใช้เบรกเส้นทางลงเขานี้จำเป็นต้องให้เกียร์ต่ำทดเอาอย่างเดียว ความรวดเร็วขณะลงเขาทำให้รถเสียหลักไปฟาดกับคันดินข้างทางดังโครมใหญ่สร้างความเสียหายเล็กน้อยกับท้ายรถด้านซ้าย ของเรา
พวกเราออกมาจากป่าได้เกือบเช้าถึงพากันมาพักแรมริมสายน้ำบริเวณเหนือเขื่อนเขาแหลม อำเภอ ทองผาภูมิ เต้นท์ถูกกางออกอย่างรวดเร็ว แข่งกันสายฝนที่โปรยปรายอย่างไม่ขาดระยะ…ผมหลับไปในช่วงเวลาไม่ถึง 5 นาทีหลังจากกางเต้นท์เสร็จด้วยความเหน็ดเหนื่อยกับเมื่อคืนหฤโหดที่ผ่านมา " เฮ้ยยย..ตื่นเร็ว…น้ำขึ้นมาแล้ว " ผมตะโกนปลุด เสียงปลุกนี้ทำให้ทุกคนกระโจนขึ้นด้วยความตกใจเพราะเส้นทางเบื้องหน้าที่เราผ่านมาเมื่อคืนตอนที่ผมเห็นตอนนี้คือเป็นลำธาร สายเชี่ยวของน้ำป่าที่ไหลด้วยความเชี่ยวกรากและดูท่าทางจะลึกไม่น้อยนั่นคือตอนนี้พวกเรา ….ติดเกาะ….อยู่กลางสายธารอันเชี่ยวกราก…
พวกเรารีบเก็บของกันแข่งกับเวลาและสายน้ำก่อนที่จะลึกไปกว่านี้แล้วจะข้ามไม่ได้….ในที่สุดพวกเราก็ขามลำธารนั้นมาได้ด้วยความลึกขนาดหน้าอกของคนที่สูง 172 ซม อย่างผม เราผ่านช่วงเวลาอันตื่นเต้นนี้ด้วยความสนุกสนานกันไม่เหมือนช่วงเวลาที่ติดอยู่ในป่าเมื่อคืนที่ค้อนข้างตื่นตะหนกและหวาดกลัวกว่านี้ พวกเราแวะทานข้าวแกง 19 หม้อ บริเวณเหนือเขื่อนเขาแหลมพร้อมทั้งแลกเบอร์โทรศัพท์กันโดยมีคำมั่นสัญญาว่าจะกลับกันมาอีก
เส้นทาง 323 ขากลับไม่ค่อยมีรถมากนักทำให้พวกเรายกเว้นคนขับต่างหลับใหลกันหมดด้วยความอ่อนเพลียกับเส้นทางหฤโหดที่ผ่านมาคงจะพอเท่านี้สำหรับทริปนี้ แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้าครับ…..แต่สัญญาว่าเราจะไปเอาภาพน้ำตกผาสวรรค์ กลับมาฝากเพื่อนๆให้ได้ในเร็ววันนี้…." ข้าขอสัญญา "







website รองรับการใช้งานทุกระบบปฏิบัติการของ PC Tablet SmartPhone ทุกระบบสามารถโพสข้อความและรูปภาพได้โดยไม่ต้องย่อไฟล์
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ website WeekendHobby.Com สมาชิก เท่านั้น จึงจะตั้งกระทู้ หรือ ตอบกระทู้ได้ครับ
Login Click ที่นี่
สมัครสมาชิก Click ที่นี่


Since 22, Feb 2001 hit counter View My Stats  Truehits.net      วันพุธ,18 ธันวาคม 2567 (Online 9260 คน)