จาก ฝ่ายข่าว@WeekendHobby.Com IP:115.87.170.175
ศุกร์ที่ , 8/8/2557
เวลา : 13:53
อ่านแล้ว = ครั้ง
เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน
|
ทริปท่องเที่ยว อีเก็ก น้ำเป็น จันทบุรี
(23-24 มิย. 44)
ทริปน้ำตกอีเก็ก น้ำตกน้ำเป็น สนุกสนานตื่นเต้น มีครบทุกรสชาด ทั้งลุยโคลน ลุยน้ำ ข้ามร่อง ไม้ขวาง ทางปิด ดินถล่ม ห้าดาว เนินชัน น้ำป่า ข้ามคลอง ช้างป่า รถเสีย รถพัง รถคว่ำ เรียกได้ว่า เกือบทุกคันที่ได้แผล มาคนละนิด ละหน่อย รออ่านรายงานทริป เร็วๆนี้ครับ
เช้าวันนั้นพวกเรารู้สึกคึกคักกันเป็นพิเศษ ว่ากันจริง ๆ แล้วก็เริ่มที่จะตื่นเต้นก่อนการเดินทางเสียด้วยซ้ำ เพราะสายฝนที่ โปรยปรายมาตลอดสัปดาห์ทำให้เราต้องมีการโมดิฟาย รถคู่ใจกันยกใหญ่ เปลี่ยนยางเอย ติดไซท์เรล ยกสูง หรือ แม้กระทั่ง ขึงสลิงกันหน้ารถก็ยังมีให้ประหลาดใจกันก่อนเดินทาง แต่ที่สำคัญที่สุด คุณหนุ่มไปตัดชุดแบทแมน ให้กับสตาร์ดา ซะสวยเชียว พวกเราชาว บูรพาออฟโรด ไปกันเกือบครบทั้งทีม ยกเว้นสีนิล ที่ติดภาระกิจ เนื่องจากลูกยังเล็ก ในทริปนี้ก็มีสมาชิกดังนี้ คือ จิงโจ้ป่า กระรอกดำ หนูขาว สมเสร็จ เสือดำ SR5พี่นิคม LNนายหมู คุณหนุ่ม และ สมาชิกใหม่อีก 3 คันจากกลุ่มกล้ามใหญ่ที่มา สร้างความครึกครื้นให้กับทริปบูรพาครั้งนี้ ส่วนอีกคนที่ร่วมเดินทางกับพวกเรา อย่างคุ้นเคยก็คือ Mr.GMC จากกลุ่ม 11 ที่ทริปนี้รับอาสาเป็นตากล้องภาพวิดีโออย่างกับมืออาชีพ (ไม่รู้จะได้ดูหรือปล่าวนะ) อ้ออีกคนหนึ่งที่ขาด ไม่ได้เกือบทุกทริปคือ คุณพล หรือช้างน้อย Discovery อีกคนหนึ่ง ซึ่งทริปนี้เป็นตุ๊กแก เกาะนายหนอนไป
พวกเราเริ่มเดินทางกันแต่หกโมงเช้าแต่ก็ต้องเข้าป่าช้ากว่ากำหนด เพราะเจ้ากระรอกดำของเสือเข้มงอแง ปั้มติ๊กเสียก่อนเข้าป่า เหมือนกับจะรู้ว่าทริปนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน เลยต้องวิ่งหาอะไหล่กัน แถวๆ อ.แกลง กันอยู่พักใหญ่ แถมโดนเจ้าถิ่นคู่เอาอีกว่า ที่อีเกก น้ำท่วมถึงฝากระโปรงเลย เราเลยคิดว่า สงสัยจะเป็น BMW โหลดเตี้ยมากกว่า กลุ่มที่หาอะไหล่ก็หาไป กลุ่มที่เตรียมเสบียงก็เตรียมกัน กว่าจะรวมตัวกันครบ ก็เกือบสิบโมง กลุ่มแรกจึงเริ่มเดินทางไปก่อน 5 คัน โดยมีนายบีเป็นผู้นำทาง กว่าจะเข้าเส้นทางสู่น้ำตกอีเกกก็เกือบ 11 โมงเช้า พวกเราแบ่ง ขบวนเป็น 2 ขบวนเพื่อความคล่องตัวในการเดินทาง ขบวนแรกนำโดยผมเอง (หนูขาว) พร้อมกับเพื่อนกลุ่มแรกอีก 4 คัน ส่วนกลุ่มหลังนำทาง โดยไพลินหรือจิงโจ้ป่า
สภาพเส้นทางช่วง 2 กิโลเมตรแรกเป็นเส้นทางโคลนยาวที่คดเคี้ยวไปมาและด้วย ความดิบชื้นของป่าที่ยังสมบูรณ์อยู่ทำให้มีความลำบากกัน พอสมควรด้วยที่เป็น ร่องลึกและแคบเรียกได้ว่างานนี้ใครที่ไม่ชอบให้ รถเป็นรอยขีดข่วนก็ต้องขับไปร้องไห้ไปละครับ สภาพเส้นทางช่วงนี้ยังจัดอยู่ในระดับ 2 - 3 ดาวที่มีโคลนปกคลุมอยู่ประมาณ 70 % ของเส้นทางเรียกได้ว่าคนขับนั้นไม่สามารถละสายตาจากร่องล้อได้เลย (ก็ไม่เห็นอีกนั่นแหละต้องเดากันเอาเอง เพราะมีแต่น้ำกับน้ำ) ยิ่งเข้าป่าลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ป่าก็ยิ่งดิบมากขึ้นต้องลงมาบอกลายกันบ่อยขึ้น เสียงกระเซ้า เย้าแหย่ เริ่มเงียบลง เงียบลงกันไปเรื่อย ๆ พอมาถึงตอนนี้เส้นทางเริ่มชันและแคบเข้าไปเรื่อย ๆ แถมรกไปด้วยกิ่งไม้ และเถาวัลย์ รวมทั้งดงระกำ และหนามหวาย บางช่วงก็แขวนทั้งล้อหน้า และหลังพร้อม ๆ กัน เรียกได้ว่างานนี้มีวินช์ กันตลอด ใครที่ติดไซด์เรลกับขึงสลิงมา นี่ไม่ผิดหวัง ได้ใช้กันเต็มที่ บางครั้งเราถึงกับต้องจอดรถลงมาดูว่ามีเส้นทางรถวิ่งต่อไปหรือไม่ ว่าแล้วคุณหนุ่มหรือฉายาใหม่ที่ได้จากทริป นี้จากรถของแก Batman ก็พลาดเป็นรายแรก หลงลายจนกันชนหน้าไหล ไปกระแทกคันดินชนบุบลึกเท่าลูกมะพร้าว ต้องจอดมาถอดงัดกันกลางป่า หลังจากซ่อมรถและกินข้าวกลางวันเสร็จ ก็เดินทางต่อผ่านร่องต้ว V ที่ไม่ยอมให้พวกก้านยาว คือสมเสร็จ กับ นิคม รมไม้ ผ่านไปได้ง่ายๆ ต้องเกิดอาการล้อแขวน ต้องวินซ์ ต้องลากกันอีก หลังจากผ่านร่องมาได้ ไม่นานทุกคันต้องจอด นิ่งกับสภาพทางข้างหน้า ที่เป็นร่องแคบ ลายสไลซ์ลงหุบลำธารลึกเกือบ 2 เมตร ถ้าไม่มีการทำอะไรซักอย่างต้องมีไหลตกกันแน่ ก็ต้องมีการลงแขกกันอีก โดยการถากดิน ทำร่องบังคับล้อ หาท่อนไม้มาวางกันตก เล่นกันเกือบชั่วโมงถึงไปกันต่อได้ จนมาถึง 2 กิโลเมตรสุดท้ายตรงนี้เรียกได้ว่าอยู่ในระดับ 4 ดาวเข้าแล้วเพราะบางครั้งก็ต้องเอาสีข้างรถถูไปกับตลิ่ง หรือคันดินตลอดเพราะรถวิ่ง ได้แค่สองล้อเท่านั้น ส่วนอีก 2 ล้อก็ต้องปล่อยให้ลอยไปอย่างนั้น แต่นั่นยังไม่สร้างความตื่นเต้นให้กับเราเท่ากับ ร่องรอยของเจ้าตัวโต ที่เห็นอยู่เยอะแยะทั่วไปเต็มไปหมด
ครับเราหมายถึงขี้และรอยถูโคลนกับต้นไม้ของช้างป่า.. ที่เราเห็นตลอดเส้นทางที่ขับผ่าน พร้อมกับคิดในใจว่าถ้ามันโผล่ออกมาเนี่ย เราจะลงรถเพื่อวิ่งหนีทันมั๊ย
เรียกได้ว่าป่านี้มีโขลงช้างป่าอยู่เต็มไปหมด (เราพึ่งจะมารู้เอาที่หลังว่าเป็นเขตป่าติดต่อกับเขาอ่างฤไน)
จากขบวนสองขบวนไป ๆ มา ๆ ก็มารวมกันกลางป่า เพราะขบวนแรกของเรา เจ้าเสือดำ
หรือเชอโรกีพันธ์ดุของนายหนอนก็ต้องมาจอดซ่อมกันกลางป่า ด้วยสาเหตุ ไฟไม่ชาร์จเข้าแบตเตอรี่ พวกเราจึงต้องทำความสะอาดไดชาร์จเสียใหม่ เนื่องจากโคลนเข้าไปจับแปลงถ่านจนเต็มไปหมด เพื่อให้กลับมาใช้งาน ได้อีก โชคดีที่ว่าเรามี ช่างมือหนึ่งจาก GMC หรือคุณสุทัศน์มากับเราด้วย พวกเราต้องแบ่งขบวนกันในป่าอีกครั้งเพื่อไม่ต้องมาติดกัน กลางป่าในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ หนำซ้ำฝนก็มาเทลงอย่างหนัก ในช่วงเย็นย่ำทั้ง ๆ ที่เราก็ยังไม่ถึงที่หมายเลย มาถึงตอนนี้เรายอมรับว่าเริ่ม
ถอดใจแล้วเพราะมากไปกว่านั้น ไปเรื่อย ๆก็ยังมีต้นไม้ล้มขวางทางอยู่ขนาด 1 คนโอบได้ แต่แล้วด้วยความกลัว ที่จะต้องกินข้าวลิงกลางป่า ทำให้พวกเราใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงช่วยกัน เอาขวานตัดออก พร้อมกับผลักให้พ้นเส้นทาง
ล้อหมุนมาได้อึดใจเดียวเอาอีกแล้วต้นไม้และเถาวัลย์กอที่2 ล้มตายขวางอยู่ข้างหน้าอีก แต่นอกจากช่วยกันตัดท่อนไม้แล้ว คราวนี้ต้องเดือดร้อนวินซ์ช่วยดึงออกจากเส้นทางเนื่องจากกอใหญ่มาก ณ ที่นั่นเราได้สังเกตุเห็นต้นตะแบก สูงใหญ่ที่อยู่ข้างทาง ทีโคนต้นจนถึงระดับประมาณ 2 เมตร มีสิ่งที่ทำเอาให้พวกเรานิ่งอึ้ง นั่นคือรองถากสีพร้อมคราบโคลนเป็นแถบ ใครจะทำอย่างนี้ในป่าได้นอกจาก "ช้าง"
จากสภาพเส้นทางในป่าที่ดิบชื้นนั้น พวกเราใช้เวลากับทางโคลนถึง 6 ชั่วโมงกับระยะทางเพียงแค่ 8 กิโลเมตร !!!!!!! งานนี้เรียกได้ว่าถูกใจคอซาดิสท์อย่างพวกเราเลยทีเดียวจุดที่พวกเราพักแรมเป็นลานกว้าง ริมลำธารที่มีร่องรอยช้างป่าย่ำอยู่เต็มไปหมด ทำให้กางเต้นท์ไปก็ นึกไปว่าคืนนี้เค้าจะเข้ามากันมั๊ย ถ้าเข้ามาแล้วจะหนีกันอย่างไร
. บรืออออ
อาหารอันวิเศษสุดในค่ำคืนนั้นของพวกเราที่พร้อมกับนั่งกินข้าวด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย แถมยังมีน้ำอำไพพร้อมกับเสียงเพลงเบา ๆ จากนาย Trek หรือเวปมาสเตอร์ของเราอีกทั้งพิธีการเล็ก ๆ น้อย ในการต้อนรับสมาชิกใหม่เข้ากลุ่มอีก 3 คันที่สร้างมิตรภาพและความอบอุ่น ของพวกเรานักเดินทางได้อย่างแนบแน่น แค่เพียงข้ามคืนกันในทริปอีเกกนี้
เสียงพูดคุยกับเสียงธารน้ำไหลปลุกเราขึ้นมาแต่สาย (ตื่นไม่ไหว) เนื่องจากความเจ็บปวดที่หัวเข่าที่บวมเป่งจากการ กระแทกกับรถตัวเอง (บื้อเหลือเกิน) มาสัมผัสบรรยากาศสดชื่นกลางป่าลึกแบบนี้ กิจกรรมยามเช้านี้ที่เสียเวลา กันพอสมควรคือ การถ่ายรูปกลุ่มกันอย่างกลัวกันว่าจะไม่ได้มาร่วมทริปกันอีก แต่ก็ต้องทำกันเพราะเราทำกันทุกทริป ไม่รู้ว่าทำไม เพื่ออะไร แต่ทำแล้วสนุกดี
กว่าจะเคลื่อนขบวนออกมาได้ก็เกือบ 10 โมงเช้า พวกเราประสบปัญหา กับเส้นทางไปน้ำตกอีเกก เพราะสภาพป่าที่รกเรื้อและร้างผู้คนมานาน ทำให้พวกเราหาทาง เข้าน้ำตกกันไม่เจอ จึงตัดสินใจกันไปแวะ น้ำตกน้ำเป็นกันดีกว่า ซึ่งก็เป็นทางผ่านอยู่แล้ว โดยช่วงขาออกนี้ ผมถูกให้เป็นคนนำอีกแล้ว (เห็นว่าตัวเล็กเลยรังแกกันน่าดู) แต่วันนี้สภาพเส้นทางกลับ โหดยิ่งกว่าขาเข้ามา เพราะสายฝน เมื่อตอนเย็นเมื่อวาน และรอยของพวกเราทำให้ร่องน้ำ นั้นยิ่งลึกขึ้นไปอีกเรียกได้ว่าความสูง ขนาดไอ้หนูขาวยังเป๋ไปเป๋มาเหมือนกัน
พวกเราขับกลับได้ยากมากขึ้นมีติดกันตลอดเส้นทาง ทำสะพาน ขุดร่องล้อ ลากหน้า ดึงหลัง ถูกงัดมาใช้กันตลอดเส้นทาง ว่าแล้วก็เริ่มต้นทักทายเที่ยวกลับด้วยเสือดำที่พยายากค่อมร่องน้ำลึก แต่เกิดปลิ้นเพราะดินลื่นทำให้ล้อซ้ายตกลงไปในร่อง รถเลยเอียงถึง 40 องศา เดือนร้อนเพื่อนต้องลงมายืนกดตัวถังด้านขวา ยืนดันด้านซ้ายประคองพร้อมวินซ์ดึงเดินหน้า กว่าจะแก้ก็ได้เหงื่อกันพอสมควร จนเราใกล้จะมาถึงทางออก อยู่แล้ว ก็ต้องเบรกเข้าข้างทางเพราะตกใจกับเสียงขอความ ช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ ด้านหลังเมื่อรู้กันว่า
. นายหมูป่า รถคว่ำ !!!!! ร่องที่ลึกและบ่อโคลนคดเคี้ยวที่ยาวเหยียดที่ทำให้ LN ตัวเก่งถึงกับพลิกตะแคงแอ้งแม้งจาก การมาด้วยความแรง และอาการหลงล้อทำให้ได้ภาพที่น่าจะเอาไปลงหนังสือพิมพ์เหลือเกินรถนายหมูคว่ำ นายศร ที่ขับตามหลังนายบีมา ต้องกลับรถ ไปช่วยนายหมู ให้ลุกขึ้นมาได้ โดยใช้วินซ์ถึง 2 ตัว จากจิงโจ้ป่าและเสือดำ ดึงตัวถึงด้านข้างกลับตั้ง ผ่านSnatch Box พร้อมกับดึงเดินหน้าเพื่อให้พ้นลายคว่ำ โชคดีที่คนขับไม่เป็นอะไร และรถก็ไม่มีร่องรอยของความเสียหายจากการทำงานของ Side rail ที่ค้ำไม่ให้ตัวถึงสัมผัสกับถนนโดยตรง ส่วนที่เหลือจอดรอ โดยกระรอกดำ คันส่งไปกระแทกกับอะไรไม่ทราบ งอจนเลี้ยวซ้ายได้นิดเดียว จึงต้องจอดและถอดออกมาดัดแต่เราจอดรอได้ไม่นานนัก ฝนก็ตกลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา จึงต้องซ่อมรถตากฝนกัน สายฝนที่ตกหนักเกือบ 2 ชั่วโมงทำให้ตอนนี้มองไม่เห็น ร่องล้อกันแล้ว จะเห็นก็เพียงแต่ลำคลองหรือสายธารที่คดเคี้ยวไปตามป่าที่บอกให้รู้ว่า เคย.. เป็นทางรถวิ่ง พวกเราวิ่งกันอย่างไม่รู้ได้ว่าร่องจะลึกขนาดไหนจนออกมากันได้โดยสวัสดิภาพทุกคน รวมทั้งนายหมูด้วย โดยระหว่างที่กู้นายหมูขึ้นมาได้ ก็มีข่าวแว่วมาว่า จิงโจ้ป่า ก็จมเหมือนกันอีกเนื่องจากเป็นเนินโคลนชัน ล้อAT ก็เลยงอแง แปลงกายเป็นยาง Formula 1 หมุนปั่นฟรีต้องหลับตำแหน่งกับเจ้าแมมมอธยาง Simax แล้วให้แมมมอธดึงขึ้น ยังไม่พอ RN ร่างยักษ์ของพี่โชติก็ไม่ขึ้นอีก จิงโจ้ป่าก็ได้ลากกันอีกทอด เลยรอกันนานเลย อิอิอิ
หลังจากออกมากันครบ เราแวะเข้าน้ำตกน้ำเป็นก่อนออก เพราะเลี้ยวไปแค่ 2 กม
แต่ก็ไปไม่ถึงเพราะไปจำนนกับเนินปราบเซียนที่สูงชันประมาณ 300 เมตรที่เละซะจนคนก็เดินแทบไม่ได้ พวกเราชาวบูรพาไม่มีใครขึ้นได้เลยแม้กระทั้ง Strada พร้อมยาง Simex ก็ยังจำนนกับความยากระดับ 5 ดาวนี้
(ใช้กำลังอย่างเดียว ไม่ได้ใช้วินซ์ เพราะมีอีกกลุ่มมาถึงพร้อมๆกัน) พวกเราต่างล่าถอยด้วยความกังขาและยังคาใจ กับบททดสอบของธรรมชาตินี้
ขากลับ พวกเราต้องรีบกลับออกมา แข่งกับสายน้ำของลำธาร ที่เริ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนที่จะข้ามกันไม่ได้ (น้ำป่ามาเร็วมาก แป๊บเดียวท่วมซุ้มล้อเลย และไหลแรงมาก) กว่าจะออกมาถึงชุมชนข้างนอกได้ก็เป็นเวลาเย็นพอดีกับเส้นทางแค่ 8 กิโลเมตร
รถพังกันไปก็หลายคัน อุปกรณ์ยับเยินไปหมด แต่รอยยิ้มไม่มีจางหาย เสียงกระเซ้าเย้าแหย่ กันทำให้เราคิดอยู่ในใจว่า ทริปที่หนักที่สุดที่พวกเราเคยไปมาอย่างทริปอีเกกนี้ไม่ทำให้พวกเขากลัวกันแม้แต่น้อย
สงสัยท่าจะบ้ากันไปหมดแล้ว
ค่ำวันนั้น ขบวนบูรพาพากันลากกลับกันอย่างช้า ๆ (จ้างก็ไม่บอกว่าเป็นรถใคร ) พร้อมกับเสียงพูดคุยที่ยังสนุกสนานเหมือน ขามาอย่างไงอย่างนั้น
. สำหรับทริปโหด ๆ ทริปนี้ ขอสวัสดีครับ.. แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้า
รายงานโดย นายบี และพี่เอคัน (เกา)
25 มิถุนายน 2544
|