จาก ฝ่ายข่าว@WeekendHobby.Com IP:58.11.21.79
พฤหัสบดีที่ , 31/7/2557
เวลา : 11:41
อ่านแล้ว = ครั้ง
เก็บเข้ากระทู้ส่วนตัว
แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน
|
ทริปสามน้ำตกผาสวรรค์ กาญจนบุรี
ป่า
เหมือนกับมันมีมนขลังต์ในตัวเอง..นักเดินทางโดยส่วนมากเมื่อลองได้สำผัสการเดินทางในเส้นทางป่าเขาที่ห้อมล้อม
ด้วยความบริสุทธิ์ของธรรมชาติมักจะหลีกหนีเส้นทางนี้ไปไม่พ้น
วันคืนผ่านไปมีแต่เพิ่มพูนประสบการณ์และ เรื่องราว
จากการเดินทางมากขึ้นเหมือนมีบาง สิ่งบางอย่างที่คอยเรียกเราให้สำผัสให้เข้าไปหามันอีกครั้งแล้วครั้งเล่า นับเวลาผ่านมาเกื่อบ
เดือนแล้วที่ไปติดหล่มทางเข้าน้ำตก..ผาสวรรค์ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ บริเวณ ขอบป่า ทุ่งใหญ่นเศวร
ในการติดป่าคราวนั้นทำให้เราไม่สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้ หรืออีกนัยหนึ่งคือเรา ไม่สามารถที่จะเอาชนะธรรมชาติได้นั้นเอง
พวกเราจึงปรึกษากันว่า " เราจะกลับไปพิชิตน้ำตกผาสวรรค์ อีกครั้งให้ได้
แต่คราวนี้เราจะต้องไปกันหลายคันหน่อยนะ
เผื่อช่วยกันได้เวลาที่มีปัญหา
ผลสรุปออกมาว่า เจะบุกผาสวรรค์อีกครั้งในวันเสาร์-อาทิตย์ที่จะถึงนี่แหล๊ะ เสาร์เช้ามือดที่ 12 สิงหาคม 43 " พวกเราเดินทางแต่เช้า
มืดโดยมีนัดรวมพลกันที่หน้าสุสานทหารพันธมิตร ในตัวเมือง จ.กาญนบุรี เพื่อที่จะได้ไม่มีปัญหา เรื่องรวมตัวกันระหว่างทางซึ่งอาจจะทำให้
เราล่าช้าได้ โดยที่ทริปนี้มีพรรคพวกรวมกันทั้งหมด 5 คันด้วยกัน โดยมีเพื่อน ๆ จากมหาชัยมาสมทบด้วย เส้นปิ่นเกล้า - นครชัยศรี
วันนั้นคราคร่าไปด้วยยวดยานพาหนะ เพราะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ค้อน ข้างยาวนาน เราใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึงที่นัดหมาย
หลังจากรวมพล และทานอาหารเช้ากันแล้วพวกเราแวะที่ห้างสรรพสิ้นค้า "คาสเติล" ในตัวเมืองเพื่อเตรียมเสบียงต่าง ๆ ไว้สำหรับรองรับ
คน 19 คนที่ร่วมก้วนเดินทางมากับเราครั้งนี้ ร่วมกันถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ในสภาพรถที่ยังสวยงาม และ สมบูรณ์อยู่ หลังจากนั้นพวกเราออกเดินทาง
โดยเปลี่ยนมาใช้เส้นทาง 323 แยกซ้ายเลียบแควน้อย เพื่อมุ่งหน้าสู่อำเภอทองผาภูมิอันเป็นเส้นทางเข้าน้ำตกผาสวรรค์ ณ.ที่ กม. 110
ก่อนที่จะแยกขวาผ่านนิคมสหกรณ์ทองผาภูมิ โดยเส้นทางที่เลี้ยวขวาเข้ามาจะลัดเลียบบนไหล่เขามาตลอด โดยเส้นทางสายนี้ยังมีความสวยงาม
จากลำธารข้างทาง และน้ำตกใหญ่ที่มองเห็นได้จากเส้นทางที่เราเลียบผ่านมา โดยทางเส้นนี้ไปตามทางลูกรังอีก 15 กิโลเมตร ก็จะถึงทางเลี้ยวขวา
เข้าน้ำตกผาสวรรค์ อันหฤโหด อีกประมาณ 13 กม.
เช้าวันที่ 12 สิงหาคม 2543 มีแสงแดดสดใสไม่มีทีท่าว่าฝนจะตกลงมาเหมือนทริปที่แล้ว
พอขบวนรถเราเริ่มเลี้ยวเข้ามาถึงทางเข้าน้ำตก ความทรงจำเมื่อมาติดป่าครั้งที่แล้วได้แวบเข้ามาในความรู้สีกของพวกเรา เส้นทางค้อนข้างแห้ง
ไม่ลื่น และเปียกชื้นเหมือนครั้งที่แล้ว มันทำให้พวกเรารู้สึกใจชื้นขึ้นมาพร้อมทั้งนึกอยู่ในใจว่าทริปนี้เราคงไปถึงที่หมายได้โดยไม่น่าจะมีปัญหา
รถ Off road ทั้ง 5 คันพากันเคลื่อนตัวลึกเข้าไปในราวป่า อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยจนมาถึง ประมาณ กม.ที่ 4 ก็ต้องหยุดจอดกันทั้งขบวน
เกิดอะไรขึ้นข้างหน้านั่น??? " มีรถติดหล่มอยู่ข้างหน้า ต้องช่วยเค้าขึ้นมาก่อน " เอ๋ เพื่อนของเราจากมหาชัยเป็นคันนำหน้า ตะโกนบอกพวกเรา
พร้อมกับสาละวน กับการดึงวินช์หรือสลิงไฟฟ้าเพื่อไปเกี่ยวกับ Toyota กระบะ ไทเกอร์ ที่ติดจมอยู่กับบ่อโคลนด้านล่างในเส้นทางที่เราจำเป็น
จะต้องผ่านเส้นทางนั้น เสียงคำรามของเครื่องยนต์ในการชักลาก บวกกับเสียงตะโกนของเพื่อนๆนักเดินทาง ที่ตะโกนแข่งกันเพื่อ เอาชนะปัญหา
ที่เราเหมือนกับเผชิญร่วมกันได้สร้างความคึกคัก และตื่นเต้นแก่พวกเราเหมือนเช่นเคย
หลักจากช่วยคันแรกแล้ว เราต้องช่วยกันอีกหลายคัน
เพื่อให้ทุกคันสามารถผ่านจุดนั้นมาได้ นี่แค่ด่านแรกก็เล่นงานพวกเราจนเปรอะเปื้อนไปด้วย โคลนตมซะแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะต้องไปเจออีกเท่าไหรกัน
พวกเรายังคงเดินหน้าเข้าไปเรื่อย ๆในป่าลึก เส้นทางที่เข้าไปยังคงต้องใช้วินซ์ชักลากกันเป็นระยะ ๆ อีก 4 ถึง 5 จุดกว่าจะพ้นแต่ละเส้นทาง
วิบากมาจนได้ เส้นทางที่คำนวณในใจแล้วน่าจะใกล้ที่จะถึงทำให้พวกเราเริ่มนอนใจว่า น่าจะไม่มีอะไรที่เป็นอุปสรรคอีกแล้ว แต่ก็ต้องหยุดลง
เมื่ออีกประมาณ 1 กิโลเมตรก่อนที่จะถึงที่หมาย บนเส้นทางข้างหน้าเมื่อรถของนายเอ๋ ซึ่งยอมรับกันว่าสมรรถนะในการลุยดีที่สุดแล้ว
ติดอยู่กลางบ่อโคลนข้างหน้าพร้อม กับเสียงเอ็ดตะโกน อื้ออึงของเพื่อน ๆ คันอื่นที่ต้องจอดลงมา เพื่อช่วยเพื่อนคนเก่งคันนี้ซะแล้ว
รถเกือบทุกคันติดที่จุดนี้เกือบหมด เรียกได้ว่ากว่าจะหลุดพ้นมาได้ก็กินเวลานานพอสมควร เราข้ามลำธารสายเล็ก ๆ บริเวณป้ายน้ำตกผาสวรรค์
มาได้ 300 เมตรก็ถึงบริเวณที่กางเต้นท์ใต้ป่าไผ่ ริมลำธารสายเชี่ยวที่ไหลหลากมาจากน้ำตก ที่พวกเรายังไม่รู้ว่าจะสวยงามขนาดไหน
สมคำร่ำลือ และ ความเหน็ดเหนื่อยที่เราดั้นโด้นมาหรือไม่...พรุ่งนี้เช้าเราคงจะได้พิสูจน์กัน แต่วันนี้คงจะหยุดการเดินทางเพียงแค่นี้ก่อน
เพื่อเตรียมหุงหาอาหาร และตระเตรียมสถานที่กางเตนท์ งานนี้พี่หนุ่ยพ่อครัวเอกของเราเป็นเรี่ยวแรงใหญ่ในการเตรียมหุงหาอาหาร
ที่แม้แต่อยู่ในเมืองก็ยังสู้ไม่ได้ในบางครั้ง ผัดเผ็ด หมูทอด หรือ ต้มจืด เป็นอาหารที่ถูกปรุงขึ้นมา อย่างพิถีพิถัน และตั้งใจถูกลำเลียงเลี้ยงดู
คนทั้ง 19 คน ในช่วงเวลาเพียงไม่นานนักแต่ทุกคนดูจะพอใจในรสชาติอาหารของ เพื่อนเรา กระโจมเต็นท์ 2หลังขนาดใหญ่กางขึ้นมาเพื่อเป็นที่
สังสรรค์ และกันน้ำค้าง หรือฝนที่อาจจะตกมาได้ในยามค่ำคืนนี้
เสียงพูดคุยสนุกสนานถึงเรื่องราวผจญภัยที่ผ่านมาทั้งวัน เริ่มที่จะแผ่วเบาไปพร้อมกับจำนวนคนที่เริ่มจางหายไปกับช่วงเวลาที่ล่วงเลยเข้ายามดึก
พวกเราเข้านอนกันไม่ดึกนักเพราะรู้ดีว่าพรุ่งนี้เรายังต้องเดินป่าไปดูน้ำตกผาสวรรค์อีกประมาณ 2-3 กม.และจะต้องเจอศึกนักในเที่ยวขากลับอีก
.." ตื่นๆๆ เช้าแล้ว ใครอยากนอนไปนอนที่บ้าน " ผมร้องตะโกนปลุกเพื่อนๆขึ้นยามเช้า ทุกคนพร้อมใจกันตื่นออกมารับความสดชื่นของบรรยากาศ
ยามเช้า กาแฟร้อน กับ ขนมปังยังคงเป็นอาหารเช้าที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเมื่อเรา อยู่กลางป่าแบบนี้ อาหารเช้าประเภทข้าวต้มซึ่งจัดเตรียมโดยพี่หนุ่ย
ของเราเช่นเคย พวกเราใช้เวลาช่วงเช้าอย่างไม่รีบร้อน บรรยากาศเป็นไปอย่างอ้อยอิ่งกับสายหมอกที่เริ่มจางหายไปในช่วงเวลาสาย ๆ
" รีบกันหน่อยนะเพื่อนๆเดี๋ยวต้องเดินป่าไปอีก 2 กิโล กว่าจะถึง " น้ำตกผาสวรรค์ " ผมเอ่ยเพื่อเร่งเร้าพวกเราให้เตรียมตัวเดินป่ากัน
หลังจาก รับประทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว เส้นทางเดินสู่ตัวน้ำตกเป็นทางวิบากพอสมควร บางช่วงต้องเปิดทางใหม่
เพื่อที่จะใช้เป็นเส้นทางเดิน ให้ผ่านไปได้เส้นทางนี้จัดว่าเป็นผืนป่า ที่ค้อนข้างจะสมบูรณ์มาก ต้นไม้ขนาด 5 - 6 คนโอบ มีให้เห็นกันอยู่ทั่วไป
รวมถึงพันธ์ไม้แปลก ๆ ที่ผมเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน พวกเราใช้เวลาเดินทางกันประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงตัวน้ำตกช่วงที่ 1
ซึ่งบางคนเริ่มที่จะถอดใจกันซะแล้ว " อีกกี่ชั้นน่ะ อีกไกลมั๊ย " เสียงนี้แว่วเข้าหูผมตลอดช่วงที่เดินเท้าเข้าสู่น้ำตกในชั้นต่อๆไป
น่าแปลกที่ว่าความสวยงามของน้ำตกแต่ละชั้นนั้นมีความสวยงามเพิ่มทวีขึ้นเรื่อยๆ มากขึ้นตามความลำบากที่เราเข้าไปลึกเข้าไปเรื่อย ๆ
เส้นทางเริ่มสมบุกสมบันมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องเริ่มมีการปีนป่าย เนื่องจากในความชันของเส้นทาง บางช่วงต้องข้ามสะพานไม้หรือลำธารเล็ก ๆ
ลัดเลาะไปตามสายน้ำที่ไม่รู้มาจากไหนต่อไหนบ้าง แต่ไหลอยู่รอบตัวเราเต็มไปหมด แม้กระทั้งบางช่วงที่ปีนบันไดก็ต้องลุยฝ่าสายน้ำที่พัดผ่านบันได
มาสำผัสเราในช่วงที่ปีนป่าย
แค่เดินทางสู่น้ำตกอย่างเดียวก็เปียกกันหมดแล้ว " เฮ้ย..พวกเรา..โอโฮ้ อะไรกันนี่ไม่น่าเชื่อเลยขึ้นมาดูเร็ว "
เสียงนายหนุ่ย ตะโกนฝ่าเสียงน้ำตกเรียกพวกเรา ในช่วงที่ผมกำลังปีนบันไปตามหลังเขาขึ้นไปภาพที่ผมเห็นอยู่เบื้องหน้าคือ
..สายน้ำตก
พร้อมเสียงดังของสายน้ำ ที่แตกตัวลงมาจากหน้าผาใหญ่ที่สูงชันประมาณ 100 กว่าเมตร แผ่กว้าง เต็มหน้าผาที่ปกกลุมไปด้วยพรรณพืช
ประเภท มอส หรือ เฟริน ที่ขึ้นอยู่เต็มหน้าผาด้วยความชุ่มชื้นของผืนป่า
.ละอองน้ำกระเซ็นเปียกปอนพวกเราหมดทุกคนที่พึ่งขึ้นมาถึง
ต่างยืนตะลึงตะลานกับความ ยิ่งใหญ่ และสวยงาม ของน้ำตกเบื้องหน้า
ผมอยากจะบอกได้เลยว่ามันเป็นน้ำตกที่สวยงาม และสมบูรณ์มากจนเทียบเท่ากับ น้ำตกทีลอซูที่อุ้มผาง หรืออาจจะสวยงามกว่าในสายตา
ของคนบางคนเช่นผม
การเดินทางที่ลำบาก และยาวนานมาตลอด 2 วันลืมไปหมดสิ้นนับจากสิ่งที่เราเห็นอยู่เบื้องหน้า ธรรมชาติบางครั้งก็มีอุปสรรค
เพื่อทดสอบความพยายามของเรา แต่ก็ธรรมชาติเองก็มีของขวัญที่พิเศษที่สุดที่จะให้เป็นรางวัลกับนักเดินทางเมื่อมาถึงจุดหมายปลายทาง
...พวกเราใช้เวลาอ้อยอิ่งกับบริเวณน้ำตกอยู่พักนึกก่อนที่เริ่มเดินออกมาด้วยความรู้สึกอิ่มเอม และเสียดายที่ต้องจากลามา จนอดไม่ได้ที่จะเหลียวหลัง
กลับไปมองอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้ พร้อมทั้งบอกตัวเองอยู่ในใจว่า
เราจะกลับมาอีกนะ
ถ้ามีโอกาศ
พวกเรากลับมาถึงปางที่พักพักตอนสาย ๆ พร้อมทั้งช่วยกันสาละวน กับการเก็บเต็นท์หรือสำภาระต่าง ๆ เพื่อที่จะเดินทางกลับ เราใช้เส้นทางเดิม
เหมือนที่ตอนเข้ามา เราติดหล่มทุกหล่มที่ติดตอนขาเข้ารวมทั้งเสียเวลาในการลำเลียง รถทุกคันให้ขึ้นเนินเขาอันสูงชันพอสมควร และยังแวะแจกขนม
กับเด็ก ๆ ชาวกะเหรี่ยง ที่หมู่บ้านกลางป่าลึก ก่อนจากมาพร้อมกับ รอยยิ้มของเจ้าบ้านและผู้มาเยือน
...เราใช้เส้นทางผ่านหมู่บ้านสะพานลาว เลยออกไปทางเหมืองเนินสวรรค์ที่ดูรกร้าง ก่อนที่จะแยกขวาเลียบผ่านด่าน บ้านมอญ บนเส้นทางลูกรัง
อัดแน่นอีกประมาณ 2 ชั่วโมง ก็มาทะลุอุทยานแห่งชาติน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น
...ณ.ตอนนี้ อะไรจะดีไปกว่า ข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ย่าง ในร้านเจ้าหน้าที่อุทยาน ทำให้พวกเราต่างลืมความสนใจต่อธรรมชาติตอนนั้นไปทันที
เพราะ เป็นอาหาร เที่ยงที่พวกเรากินกันประมาณ 4 โมงเย็น การจัดการของที่นี่เปลี่ยนไปทางที่ดีมาก ห้องน้ำสะอาด แสงสว่าง
การจัดการความสะอาด หรือ กิจกรรมด้านศึกษาและการอนุรักษ์ ดูเป็นระบบดีกว่าที่อื่น ๆ ที่เคยเห็นมา
...หลังจากอิ่มหน่ำสำราญกันแล้ว พวกเราก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันบริเวณลานกางเต้นท์ ที่มีฉากด้านหลังเป็นผืนน้ำอันกว้างใหญ่ของเขื่อนศรีนครินทร์
หลังจากนั้นพวกเราก็เคลื่อน ขบวนกันออกมา อีกประมาณ 2 กิโลเมตร ก็ถึงสถานที่ข้ามแพยนต์ ซึ่งพวกเราใช้การข้ามแพไปฝั่งอำเภอ ศรีสวัสดิ์
เป็นเส้นทางในขากลับ กทม. กว่าจะเดินทางถึง กทม. ก็ทำเอาเหนื่อยพอสมควร ทริปนี้ได้สร้างความรู้สึกประทับใจอีกครั้งหนึ่งในความโหด
ของธรรมชาติ และความสวยงามในเวลา เดียวกัน สำหรับทริปนี้
.สวัสดีครับ
|