คำตอบที่ 27
หลวงปู่เจียม พระมาลัย หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่ทวด หลวงปู่โต หลวงปู่บุญมี
หนังสือ
ประวัติ บารมีธรรม
ของ
อาจารย์บอย
(องค์ญาณหลวงปู่บรมครูหลวงปู่ใหญ่)
รวบรวมประสบการณ์บางส่วน ดังนี้
1.ว่าด้วยเรื่องของ ทาน ศีล สมาธิ และปัญญา
2.ประสบการณ์ทางจิต
3.ประสบการณ์ช่วยสงเคราะห์สรรพสิ่ง
4.บทสวดมนต์ ที่ดีที่สุด
เกริ่นนำ
การเขียนหนังสือขึ้นมาครั้งนี้ เจตนาเพื่อสร้างประโยชน์แก่บุคคลที่กำลังหาคำตอบในหลายๆเรื่อง ที่ยังติดค้างคาใจอยู่ ซึ่งอาจจะยังหาคำตอบไม่ได้ นี่อาจจะเป็นอีกแนวทางหนึ่งให้กับท่านผู้ใฝ่ดีและหาหนทางพ้นทุกข์ ซึ่งทุกอย่างในโลกใบนี้ล้วนแล้วแต่เป็นไปตามกฏวัฏฏสงสาร ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาตามลิขิตของกรรม จะมีสิ่งใดที่จะเที่ยงแท้และจีรังยั่งยืนหามีไม่ ทุกสรรพสิ่งล้วนแล้วแต่ตกอยู่ภายใต้กฎ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา คือ ความไม่เที่ยงนั่นเอง เมื่อเราทราบดีอยู่แล้วว่าทุกอย่างมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ แล้วเรายังจะดิ้นรน ขวนขวาย ไฝ่หาสิ่งใดอยู่เล่า นอกจากหนทางที่จะนำเราไปสู่ความสุข แล้วความสุขที่แท้จริงล่ะมันอยู่ที่ใด อยู่ที่สิ่งที่มาปรนเปรอ บำรุงบำเรอท่านอยู่หรือเปล่า หรือจะเป็นสิ่งที่ท่านต้องการเพียงฝ่ายเดียว เท่านั้นน่ะเหรอ หนังสือบรรยายธรรมชุดนี้กำลังจะนำพาท่านไปพบกับสิ่งที่ท่านทั้งหลายอาจจะมองข้ามมันไปว่า ความสุขที่แท้จริงนั้นไม่ได้อยู่ไกลตัวท่านเลย แต่ตรงกันข้ามมันอาจจะอยู่ใกล้ตัวท่านมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ จนทำให้ท่านอาจจะมองข้ามมันไปเปรียบเสมือนกับขนตาที่มันอยู่ใกล้ท่านเกินไป จนทำให้หลายๆครั้งมองไม่เห็นมัน และยังมีเรื่องเหลือเชื่อหลายๆอย่างที่เกิดจากประสบการณ์จริง หรือประสบการณ์ทางธรรมที่ข้าพเจ้าเคยได้สัมผัสมาจะนำมาเพื่อเล่าสู่กันฟัง เผื่อแผ่แก่คนที่กำลังติดทุกข์ในหลายๆเรื่อง ซึ่งอาจจะมีความสอดคล้องกันกับที่ข้าพเจ้าได้เคยสัมผัสมา โปรดตามข้าพเจ้ามาเถิด
องค์ญาณหลวงปู่บรมครูหลวงปู่ใหญ่
(นามแฝงของผู้เขียน)
Tel. 089 9853139
1.ว่าด้วยเรื่องของทาน
การทำทานให้ได้บุญนั้น มีความจำเป็น เป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ครบทุกข้อ ทุกอย่างเพื่อที่จะให้การทำทานในครั้งนั้นๆ จะได้เกิดบุญและสัมฤทธิ์ผลตามประสงค์ ดังนี้
1.ของที่จะให้ทานควรบริสุทธิ์ อุปมาอุปไมย เสมือนกับชาวนาหาเมล็ดข้าวเพื่อที่จะนำมาเพาะปลูกในแปลงนา เมื่อหาได้เมล็ดข้าวพันธุ์ยิ่งดีฉันใด โอกาสที่ผลิตผลในการเพาะปลูกที่จะได้ออกมานั้น ก็ย่อมยังผลให้ได้ผลดีตามไปด้วยฉันนั้น
2.ผู้ให้ทานควรมีศรัทธาตั้งมั่น ไม่เสื่อม อุปมาอุปไมย เสมือนกับชาวนาเมื่อหาเมล็ดพืชพันธุ์ดีมาได้แล้ว ควรเตรียมดินและลงมือทำการเพาะปลูกด้วยความพากเพียร วิริยะ อุตสาหะ ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งที่มารบกวนจิตใจ ดังเช่นกิเลสทั้งหลายที่จะทำให้เกิดการปรุงแต่งเกิดขึ้นอย่างมากมาย ทั้งอยู่รอบกายและอยู่ในตัวของบุคคลนั้นๆ คำบอกเล่า คำนินทา ซึ่งจะมีผลทำให้ไขว้เขว จึงอาจทำให้เกิดความลังเลสงสัยขึ้นมาได้ เมื่อตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำ แล้วทำสำเร็จได้ฉันใด ผลิตผลที่ได้ย่อมมีโอกาสเจริญงอกงามได้ฉันนั้น
3. ผู้รับทานเป็นผู้บริสุทธิ์ พระพุทธเจ้าท่านเคยกล่าวไว้ว่า ถ้าท่านพึงเลือกได้ก็พึงเลือกเอาเถิด เนื่องจากว่าการให้ทานกับบุคคลที่ต่างกันย่อมได้ผลต่างกัน ตามวาระของจิตของผู้รับทานจากเรา ซึ่งจะสามารถแบ่งตามลำดับ พอประมาณได้ดังนี้ คือ เมื่อท่านให้ทานกับสัตว์เดียรฉาน ได้ทาน 1 ส่วน เมื่อท่านให้ทานกับมนุษย์ผู้มีจิตใจทราม ได้ทาน 100 ส่วน เมื่อท่านให้ทานกับมนุษย์ผู้มีจิตใจดี ได้ทาน 10000 ส่วน เมื่อท่านให้ทานกับ มนุษย์ผู้รักษาศีล 5 ได้ทาน 1000000 ส่วน เมื่อท่านให้ทานกับ มนุษย์ผู้รักษาศีล 8 ได้ทาน 100000000 ส่วน เมื่อท่านให้ทานกับ มนุษย์ผู้รักษาศีล 10 ได้ทาน 100000000 ส่วน เมื่อท่านให้ทานกับภิกษุ ภิกษุณี ผู้รักษาศีลบริสุทธิ์ครบ ได้ทาน 100000000 ส่วน เมื่อท่านให้ทานกับผู้สำเร็จธรรมโสดาบัน ได้ทาน 10000000000 ส่วน เมื่อท่านให้ทานกับผู้สำเร็จธรรมสกิทาคามี ได้ทาน 1000000000000 ส่วน เมื่อท่านให้ทานกับผู้สำเร็จธรรมอนาคามี ได้ทาน 100000000000000 ส่วน เมื่อท่านให้ทานกับผู้สำเร็จธรรมอรหันต์ ได้ทาน 10000000000000000 ส่วน เมื่อท่านให้ทานกับพระพุทธเจ้าได้ทาน1000000000000000000 ส่วน แต่ในยุคปัจจุบันท่านไม่สามารถหาพระอริยะมารับทานได้ง่ายนัก เนื่องจากความเสื่อมที่เกิดขึ้นหลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพาน ซึ่งพระพุทธเจ้าเคยให้คำทำนายไว้กับพระเจ้าปเสนทิโกศล ว่า หลังจากที่พระองค์เสด็จปรินิพพาน ศาสนาของพระโคดม จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ยุค คือ หลังปรินิพพาน จะให้พุทธบริษัทสี่ดูแล คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ซึ่งศาสนายังจะมีความรุ่งเรืองอยู่ แต่หลังจาก 2500 ปี จะให้เหล่าเทวดา นางฟ้า เป็นผู้ดูแล ซึ่งจะพบว่าเทวดาส่วนใหญ่ก็ยังมีกิเลสรวมกับมนุษย์ที่ยังมีกิเลส ซึ่งจะมีจำนวนมากกว่ามนุษย์และเหล่าเทวดาฝ่ายดี จึงทำให้ศาสนาเริ่มเสื่อม ภิกษุ ก็เริ่มแหว่ง ภิกษุณีก็หาย อุบาสก อุบาสิกา ก็เริ่มเสื่อม อุปมาอุปไมยเสมือนกับแท่งเหล็กถูกสนิมกิน กัดกร่อนไปเรื่อยๆ และหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน 4000 ปี จะเป็น ภูติ ผี ปีศาจ ดูแล ซึ่งก็คงไม่ต้องพูดถึงว่า ศาสนาจะเป็นอย่างไรต่อไป ถ้าท่านไม่สามารถเลือกผู้รับทานที่มีความบริสุทธิ์ มีภูมิธรรมสูงได้ ก็ให้ทำทาน โดยไม่จำเพาะเจาะจง นั่นก็คือการทำสังฆทาน ซึ่งบุญที่จะเกิด ก็จะยิ่งนับค่าไม่ได้เลย มากมายนัก เนื่องจากเป็นบุญที่ทำกับ คณะสงฆ์หมู่ใหญ่ และไม่จำเพาะเจาะจง ซึ่งจะทำให้ไม่ต้องเกิดความลังเลสงสัยตามมาหลังจากทำทานเสร็จและสิ่งของที่ให้ทานก็เป็นประโยชน์กับบุคคลส่วนใหญ่ อุปมาอุปไมยเสมือนกับชาวนาเมื่อมีเมล็ดพันธุ์ข้าวอยู่มากมาย เกินกว่าที่จะนำไปทำการเพาะในที่นาของตัวเอง เนื่องจากมีที่ดินไม่พอ จึงแบ่งเมล็ดพันธุ์ข้าวให้กับชาวนาคนอื่นที่ยังขาดเมล็ดพันธุ์ข้าวที่จะนำไปทำการเพาะปลูก ฉันใดก็ฉันนั้นถึงแม้ว่าผู้รับทานจากเราจะมีคนดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่จากการให้ทานแก่คนหมู่มาก ย่อมยังผลทานให้ได้กลับคืนมาสู่ตัวไม่ช้าก็เร็ว และมากมายมหาศาล หาประมาณมิได้ อุปมาอุปไมยเสมือนกับดินที่ใช้เพาะปลูกยิ่งดีฉันใดย่อมได้ผลผลิต ดีขึ้นฉันนั้น
4. เมื่อให้ทานแล้ว ศรัทธาไม่เสื่อม อุปมาอุปไมยเสมือนกับชาวนาเมื่อทำการเพาะปลูกจนต้นข้าวออกรวง ทำการให้น้ำ พรวงดินและเก็บเกี่ยวอย่างระมัดระวัง ไม่ลังเลสงสัย มีจิตใจมุ่งมั่นและแน่วแน่ต่อการเก็บเกี่ยว ก็ย่อมได้ผลผลิตเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่ตกหล่นฉันนั้น
5. ผู้รับทาน นำสิ่งของไปทำประโยชน์ให้ อุปมาอุปไมยเสมือนกับชาวนานำเมล็ดข้าวที่ได้ หลังจากทำการเก็บเกี่ยว มาทำการเพาะปลูกใหม่หรือแจกจ่ายในส่วนที่เกินให้กับผู้ขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ข้าวช่วยปลูก (เป็นสังฆทาน) ผลทานนั้นย่อมเกิดประโยชน์อย่างมากมายมหาศาลนับประมาณมิได้ เพราะฉะนั้นบุคคลที่ให้ทานควรพิจารณาถึงประโยชน์ที่จะเกิดหลังจากการให้ทานด้วย ไม่ใช่คิดอยากจะทำก็ทำอย่างไม่มีสติ ซึ่งคนที่ไม่มีสติก็เปรียบเสมือนกับคนบ้า คนบ้าแม้จะทำในสิ่งที่เหมือนกับบุคคลปกติทั่วไปเขาทำกันก็ตาม แต่ผลที่ได้ออกมาก็ยังได้ไม่เท่ากับคนปกติทำแค่นิดเดียว เพราะฉะนั้นจงอย่าเป็นคนบ้าบุญ แต่ขอให้เป็นคนทำบุญจริงๆแล้วท่านก็จะไม่ต้องมาพูดหรือมาบ่น หลังจากทำบุญอีกว่า ทำดีแล้วไม่ได้ดี แต่บุญที่ให้ผลเร็วที่สุดก็คือทำบุญกับผู้ปฏิบัติที่พึ่งออกจากฌามสมาบัติใหม่ๆ แล้วท่านเป็นผู้ให้ทานเป็นคนแรก ผลที่ได้จะเห็นผลทันตา
ว่าด้วยเรื่องของทานก็คงจะฝากไว้ให้ท่านทั้งหลายผู้ฝักใฝ่ในทางธรรม ในการให้ทานพึงช่วยพิจารณาก่อนจะให้ทาน แล้วให้ทาน เมื่อพิจารณาได้ถูกทางแล้วก็จะเป็นบุญ มหากุศลเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำทาน ซึ่งผลบุญที่เกิดก็จะได้รับในชาติภพนี้เพื่อที่จะนำท่านผู้ฝักใฝ่ในการให้ทานทั้งสู่สุขติภูมิเมื่อถึงเวลาสมควร ด้วยกาล สาธุกาลในบุญที่เกิดขึ้นอย่างมหาศาลด้วยใจบริสุทธิ์ดี ก็ข้าเทอญ
2.ว่าด้วยการรักษาศีล
ในบทแรก ว่าด้วยการให้ทานนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับบุคคลที่ยังมีกิเลสหนาและยังไม่สามารถหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสารได้ในชาติภพนี้ เนื่องจาก บุคคลที่ไม่ให้ทานเมื่อตายไปก็จะไม่ค่อยมีกิน ถึงแม้ว่าจะได้จุติเกิดมาในชาติภพใหม่ก็จะเป็นคนอนาถา อดๆอยากๆ เป็นคนยากจน กระผมเคยได้ยินผู้ปฏิบัติธรรมหลายๆท่านชอบพูดว่าการให้ทาน จะเป็นตัวถ่วงนิพพานซึ่งจากความเข้าใจของตัวกระผมเองที่ได้รับฟัง ก็คือ เมื่อทำบุญแล้วจะต้องมารับผลบุญผลทานที่ทำไว้จนหมดสิ้นก่อนจึงจะสามารถหาทางหลุดพ้นเข้าสู่นิพพานได้ ซึ่งจากหลักของความไม่ประมาท ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านจะสามารถบรรลุธรรมได้ในชาติภพนี้ แล้วพระอรหันต์ทั้งหลายก็ล้วนมี บุญบารมีติดตัวมาทุกองค์ แล้วทำไมท่านจึงสามารถที่จะบรรลุธรรมได้ จึงเป็นข้อคิดให้กับท่านที่ยังหลงทางอยู่ในความประมาทอยู่ ว่าด้วยเรื่องทานแล้วต่อไปก็จะว่าด้วยเรื่องของการถือศีล การถือศีลนั้นไม่ยากลำบากมากมายเหมือนอย่างที่หลายๆท่านได้คิด ตั้งค่าไว้จนสูงเกินกว่าที่คนธรรมดาจะสามารถประพฤติปฏิบัติทำได้ ดังที่บุคคลโดยทั่วไปชอบคิดไปเอง ๑. การรักษาศีลไม่ใช่การยึด พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอนไว้ว่าไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นจากการสมมุติ ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดตายตัว คงที่ แน่นอนตลอดไปได้ ล้วนเปลี่ยนไปตามกาลเวลาที่เหมาะสม
๒. การรักษาศีล ไม่ใช่ความหวังหรือการโฆษณาเล่าอ้าง พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอนว่าจะรู้อะไรก็ควรรู้ให้แน่ด้วยตัวของท่านเองเสียก่อนด้วยปัญญาและมีสติ ถึงเชื่อแน่ว่าจริง อย่าเชื่อเพราะคำเล่าลือหรือกล่าวอ้างว่าเป็นจริง จากผู้ที่ควรนับถือหรือมีประสบการณ์มาก่อนเพราะทุกอย่างในโลกใบนี้ย่อมมีความแตกต่างกันเกิดขึ้นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือวัตถุสิ่งของต่างๆ นาๆ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่ มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ตั้งอยู่ได้ชั่วขณะและมีความดับไปเป็นธรรมดา ถ้าท่านตั้งความหวังว่าเมื่อทำการรักษาศีลแล้วผิวจะสวย จะรวยเสน่ห์ จะปราศจากมนทิร ขอให้ท่านพึงรู้ไว้ว่าท่านกำลังเดินผิดทางอยู่ ในโลกใบนี้ไม่ใช่ทุกคนที่จะเกิดมาโชคดี คิดหวังสิ่งใด อยากได้สิ่งใด คาดหวังสิ่งใด จะได้สิ่งนั้นโดยฉับพลัน เพราะผลบุญที่เกิดจากการรักษาศีลย่อมเกิดขึ้นตามระยะเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น ถ้าท่านไปตั้งความหวังไว้มากๆเมื่อเริ่มทำการรักษาศีลแล้วผลที่ได้มาช้า ไม่ได้ดังใจปรารถนาศรัทธาของท่านก็จะเสื่อม ซึ่งจะมีผลทำให้ผลบุญที่ท่านควรจะได้รับเต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็มีอันต้องขาดตกบกพร่องไป ตามกาลของการกระทำที่เกิดจากตัวท่านเอง แล้วท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าการรักษาศีลดีจริง คำตอบที่ดีที่สุดนั่นก็คือ ท่านต้องทำเอง ทำให้ถูกหลักและทำให้ถึง เมื่อท่านทำได้อย่างที่กล่าวมาแล้วผลบุญที่ได้จากการรักษาศีลย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
๓. การรักษาศีลไม่ใช่แค่การท่องบทอาราธนาศีล รับศีลในหนังสือสวดมนต์ เพราะนั่นก็คือนามสมมุติเช่นเดียวกับตัวของท่านนั่นเอง จงพิจารณาให้ดีเถิด นาม รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่ของจริง แต่ของจริงก็ชอบแอบแฝงอยู่ในสิ่งที่ไม่จริงอยู่เสมอทุกเมื่อ ทุกเวลา เนื่องจากว่าทุกอย่างในโลกใบนี้ย่อมอยู่เป็นคู่ เป็นของคู่กัน นั่นจึงไม่แปลกที่จะมีของจริงอยู่ด้วย
๓. การรักษาศีลคือ ความไม่ประมาท ความไม่ตั้งใจ ความไม่วางใจที่จะทำผิดศีล การทำผิดศีลจะมีองค์ประกอบอยู่หลักๆ คือ เจตนาทางความคิดและลงมือทำ เมื่อท่านมีเจตนาทางความคิดว่าจะทำผิดศีล แล้วลงมือทำ ถือว่าท่านได้กระทำบาปกรรมต่อผู้อื่นทั้งทางกาย วาจาและใจ แต่ถ้าท่านทำไปโดยที่ไม่ได้มีเจตนาว่าจะทำร้ายผู้อื่นไม่ได้ตั้งใจทำ ถือได้ว่าศีลบกพร่องแต่ยังไม่ขาด ถ้าคิดที่จะทำแต่ยังไม่ได้ลงมือทำ ถือได้ว่าจิตตกแต่ศีลยังไม่ขาด แต่ถ้าทำไปโดยความไม่รู้ ไม่มีเจตนาพระพุทธเจ้าท่านเคยกล่าวไว้ว่า ผู้ไม่รู้คือผู้ไม่ผิด จากผลและการกระทำดังที่ได้กล่าวมานั้นท่านจะสามารถรู้ได้ว่าการรักษาศีลที่แท้จริง ก็คือ การรักษาใจ ของท่านนั่นเอง ตราบใดที่ท่านยังสามารถรักษาใจของท่านให้ตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดีได้ ระลึกนึกถึง คุณพระพุทธ พระธรรมและพระอริยะสงฆ์ ตราบนั้นท่านก็ยังได้ขึ้นชื่อว่า เป็นผู้รักษาศีลอยู่ทุกเมื่อทุกกาล
จากที่ได้กล่าวมาแล้วเบื้องต้น ท่านจะพบว่าการรักษาศีลนั้นเป็นพื้นฐานของผู้ที่จะฝึกสมาธิ ฝึกจิตได้ดี ซึ่งการรักษาศีลจะช่วยทำให้ท่านมีจิตใจปลอดโปร่ง โล่งสบาย หายหวาดระแวง สงสัย ลังเลกับการกระทำของท่าน ถ้าเป็นบุคคลที่ไม่มีศีลก็จะทำให้เกิดทุกข์อยู่ทุกขณะจิต ทำให้มีจิตใจที่เศร้าหมอง ยากต่อการกระทำในหลายๆเรื่องเพื่อให้เกิดคุณประโยชน์ได้สูงสุด การรักษาศีลที่ดี เบื้องต้นท่านควรจะปล่อยวางจิตใจที่เศร้าหมอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เคยกระทำผ่านมาในทางที่ไม่ดี รวมทั้งเรื่องที่ทำให้เศร้าโศกเสียใจ เพื่อจะทำให้ท่านสามารถรับแสงสว่างได้เต็มที่ อุปมาอุปไมยเปรียบเหมือนแก้วน้ำที่กำลังจะเทน้ำใสสะอาดบริสุทธิ์ลงไป ถ้าท่านไม่ทำความสะอาดแก้วน้ำ ชำระล้างฝุ่นผงที่สกปรกออกไปให้หมดเสียก่อน ก่อนที่ท่านจะเทน้ำใหม่ลงไป ถึงแม้ว่าน้ำที่จะเทลงใส่แก้วน้ำจะสะอาดเพียงใด ก็ไม่สามารถทำให้น้ำที่อยู่ในแก้วบริสุทธิ์ทั้งหมดได้ ฉันใดก็ฉันนั้น การทำใจให้บริสุทธิ์ ปล่อยวางจากความเศร้าหมองก่อนการรักษาศีล ก็ย่อมยังผลให้ท่านสามารถรับผลบุญที่บริสุทธิ์ได้มากฉันนั้น อุปมาก็มีอยู่แค่นี้ ในหัวข้อต่อไปก็จะได้กล่าวถึงว่าด้วยเรื่องของการฝึกจิต การทำสมาธิ ว่าแต่ละวิธีมีความแตกต่างกันอย่างไรหรือไม่ แล้วจะก่อให้เกิดประโยชน์อะไรกับท่านผู้ใฝ่ในการบำเพ็ญเพียรได้บ้าง ตามวาระ ตามโอกาสของจิตของผู้ปฏิบัติจะพึงรักษา และกระทำเอาไว้ได้
3.ว่าด้วยเรื่องของการทำสมาธิ
การทำสมาธิมีอยู่ด้วยกันหลายๆวิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็จะมีขั้นตอนหรือวิธีการปฏิบัติแตกต่างกันออกไป แต่อย่างไรก็ตาม การทำสมาธิก็มีจุดมุ่งหมายไปยังจุดเดียวกัน นั่นก็คือการรวมจิต ทำให้จิตตั้งมั่นรวมเป็นหนึ่ง เพื่อที่จะเป็นพื้นฐานในการปฏิบัติภาวนาในขั้นต่อไป ซึ่งข้าพเจ้าจะขอกล่าวแค่วิธีการฝึกจิตที่ข้าพเจ้าเคยได้ลองปฏิบัติและเรียนรู้ แล้วแน่ใจว่าได้ผลจริงๆ เพียงเท่านั้น ดังนี้
1. การกำหนดจิตรู้ วิธีนี้เป็นวิธีการฝึกจิตที่เกิดขึ้นกับตัวของข้าพเจ้าเอง อาจจะไม่เหมือนใครแต่ก็ได้ผล วิธีการฝึกก็คือ ให้ท่านกำหนดจิตรู้อาการ ที่จุดใดจุดหนึ่ง ในตัวท่านเอง ตามโอกาส ตามวาระของจิต ว่าในขณะนั้นจิตจะไปจดจ่ออยู่ที่จุดใด ไม่ว่าท่านจะอยู่ในท่า ยืน เดิน นั่งหรือนอน ก็ตาม ร้อนก็ให้รู้ว่าร้อน เย็นก็ให้รู้ว่าเย็น หนาวก็ให้รู้ว่าหนาว ปวด หนักหรือเบาก็รู้ ให้รู้อยู่ตลอดเวลาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เมื่อท่านปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอไปเรื่อยๆท่านก็จะค้นพบความไม่เที่ยงซึ่งจะเป็นภูมิธรรมของวิปัสสนา ถ้าท่านปฏิบัติได้ดังนี้แล้วจะได้อะไรในเบื้องต้น คำตอบคือท่านจะมีจิตหยั่งรู้ ฌานหยั่งรู้ รู้ได้ในเรื่องต่างๆที่จะเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ตามกาลเวลา
2. สายพุทโธ หลวงปู่มั่น เดินจงกรม กำหนดจิตให้เร็วโดย เท้าขวาเมื่อยกแล้วเหยียบพื้นดินให้กำหนดว่า พุท เท้าซ้ายเมื่อยกแล้วเหยียบพื้นดินให้กำหนดว่า โธ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
นั่งสมาธิ ให้นั่งสมาธิโดยเลือกเอาท่านั่งที่ถนัดที่สุด กำหนดลมหายใจเข้าว่าพุท กำหนดลม
หายใจออกว่าโธ จุดที่จะกำหนดจิตก็จะมีดังนี้คือ ปลายจมูก ท่อลมโพรงจมูก ลิ้นปี่ จะกำหนด
จุดใดจุดหนึ่งหรือจะกำหนดการไหลผ่านของลมตามจุดต่างๆทุกจุดก็ได้ เมื่อจิตรวมแล้วให้
พิจารณาถึงความหยาบ ละเอียดของลมไปเรื่อยๆ จนว่างเปล่า ตามวาระจิต เพื่อพิจารณาธรรม
นอนสมาธิ ให้กำหนด พุทโธ ตามจุดต่างๆเหมือนกับการนั่งสมาธิ คล้ายๆกัน
3. การกำหนดกรรมฐาน 5 อย่าง ของผู้บำเพ็ญเพียรลึกลับ นั่งสมาธิท่าที่ถนัด แล้วให้กำหนดจิตไว้จุดใดจุดหนึ่ง ตามที่จิตถนัดหรือจะกำหนดตามความหมายจากคำภาวนาก็ได้ คือ ผม ขน เล็บ ฟันและหนัง แล้วท่องในใจหรือออกเสียงเบาๆว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตโจ ทันตา นขา โลมา เกสา ให้ท่องกลับไป กลับมาเรื่อยๆ จนกว่าจิตจะรวมเป็นสมาธิ เมื่อใดเห็นดวงจิตกลมๆมีแสงสว่างเท่าดวงอาทิตย์อยู่ใกล้ตัว(ส่วนมากจะอยู่ที่ด้านบนซึ่งจะอยู่ระหว่างหน้าผากและกระหม่อม)ให้น้อมเอาดวงจิตเข้าสู่ร่างกายทันที เพื่อจะพิจารณากายเข้าสู่วิปัสสนาหรือต้องการดับจิตให้นิ่ง ก็พึงท่อง พุทธัง สรณัง คัจฉามิ การปฏิบัติจะช้าจะเร็วก็เป็นไปตามวาระจิตของท่าน ผู้มีความสนใจฝักใฝ่ในการภาวนา นั่งสมาธิ
4. การภาวนารวมจิต สัมมาอรหัง(หลวงปู่เจียม วัดกะม่อล) นาราอรหัง(หลวงปู่หงส์) พุทโธ(สายหลวงปู่แหวน หลวงปู่ฝั้น) นะมะพะทะ,จะพะกะสะ,นะมะอะอุ หรือ นะโมพุทธายะ(อ.บอย) พุทโธ(หลวงพ่อพุธ) หรือจะใช้บทอื่นๆก็ได้ดังใจ วิธีการปฏิบัติก็คือ ให้ท่องบทบริกรรมไปเรื่อยๆ จะกำหนดจิตอยู่ที่ตรงใหนก็ได้ ท่องบทบริกรรมไปจนกว่าจิตจะรวมกันเป็นสมาธิเกิดขึ้น เพื่อเป็นพื้นฐานที่จะพิจารณาธรรมเป็นวิปัสสนากรรมฐานต่อไป การปฏิบัติวิธีนี้ หลวงปู่เจียมท่านเคยให้ข้อเปรียบเทียบไว้ว่า ผู้ฝึกเปรียบเสมือนกำลังขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล วันใหนขุดเจาะจนถึงตาน้ำ น้ำขึ้นมาเต็มบ่อ วันนั้นก็เห็นธรรม แล้วผู้ที่ปฏิบัติภาวนาเมื่อเลือกทางใหนปฏิบัติแล้วก็ควรทำให้ถึง ถ้าเปลี่ยนไปเรื่อยๆก็เหมือนกับช่างขุดเจาะหาบ่อน้ำบาดาล ขุดยังไม่ถึงใหนก็เปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆแล้วชาติพบนี้ จะสามารถเห็นธรรมได้หรือไม่ กระผมก็ขอฝากไว้เป็นข้อคิดเล็กๆน้อย เพื่อผู้ฝึกปฏิบัติภาวนาจะได้เข้าใจ วาระจิตการกำหนดจิต กำหนดูกอยู่จริงๆ ทำไปเรื่อยๆจนกว่าจะสงบ แล้วจึงพิจารณาธรรมตามจุดต่างๆในร่างกายต่อไป เข้าสู่ภูมิธรรมวิปัสสนากรรมฐาน
5. กำหนดความว่าง วิธีปฏิบัติก็คือ ไม่ให้คิดอะไรเลยสักอย่าง ทุกสิ่งย่อมไม่มี ทำให้ว่างหมด เมื่อกำหนดจนจิตเกิดความว่างขึ้นแล้วให้พิจารณาถึงความไม่เที่ยง รูป นาม เกิดขึ้นจากการสมมุติ เข้าสู่ภูมิธรรมวิปัสสนา (ระวัง เมื่อจิตว่างจะเกิดอาการปิติอิ่มบุญ แล้วยึดมั่นถือมั่นปล่อยวางยาก ความว่างคือชั้นพรหม ซึ่งไม่ควรไปยึดมาก ควรปล่อยวางให้มากๆ)
6. กำหนด หนอ หลวงปู่เทพโลกอุดร ถ่ายทอดโดยหลวงพ่อติ่ง วิธีการปฏิบัติมีดังต่อไปนี้ คือ
เดินจงกรม ยืนตัวตรงกำหนดจิตช้าๆ จากกลางฝาเท้าขึ้นตรงกลางกระหม่อมว่า ยืน แล้วกำหนดจิตลงมาจากกลางกระหม่อมลงมายังกลางฝาเท้าว่า หนอ ทำไปเรื่อยๆจนกว่าจิตจะสงบ (ใจเย็นๆนะวิธีนี้ใจร้อนไม่ได้อะไรเลย) เมื่อจิตสงบแล้วจึงยกส้นเท้าข้างขวาขึ้นนิดหนึ่งแล้วภาวนาอย่างช้าๆว่า ขวา แล้วยกขาขวาขึ้นย่างไปข้างหน้าพร้อมทั้งภาวนาคำว่า ย่าง เมื่อเท้าขวาเหยียบลงเต็มฝาเท้าแล้วให้ภาวนาว่า หนอ ส่วนเท้าซ้ายก็ทำเหมือนกัน ดังนี้ ยกส้นเท้าข้างซ้ายขึ้นนิดหนึ่งแล้วภาวนาอย่างช้าๆว่า ซ้าย แล้วยกขาซ้ายขึ้นย่างไปข้างหน้าพร้อมทั้งภาวนาคำว่า ย่าง เมื่อเท้าซ้ายเหยียบลงเต็มฝาเท้าแล้วให้ภาวนาว่า หนอ ทำไปเรื่อยๆจนสุดทางจงกรม ให้เท้าทั้งสองยืนคู่กันเหมือนกับเริ่มเดิน ยืนแล้วกำหนดเหมือนเดิม คือ ยืนตัวตรงกำหนดจิตช้าๆ จากกลางฝาเท้าขึ้นตรงกลางกระหม่อมว่า ยืน แล้วกำหนดจิตลงมาจากกลางกระหม่อมลงมายังกลางฝาเท้าว่า หนอ ทำไปเรื่อยๆจนกว่าจิตจะสงบ เมื่อจิตสงบแล้วจะหันตัวกลับโดยให้เริ่มจาก ท่องขวา แล้วยกปลายเท้าขวาขึ้นพร้อมทั้งภาวนาว่า ยก แล้วหมุนไปทางขวา 45องศา พร้อมทั้งภาวนาว่า กลับ แล้ววางเท้าลงพร้อมทั้งภาวนาว่า หนอ ส่วนท้าวซ้ายให้กำหนดคำบริกรรมว่า ซ้าย แล้วยกส้นเท้าซ้ายขึ้นพร้อมทั้งบริกรรมคำว่า ยก แล้วยกเท้าซ้ายมาวางคู่เท้าขวาพร้อมกับบริกรรมคำว่า กลับ พอวางเท้าลงให้บริกรรมว่า หนอ แล้วให้ทำตามขั้นตอนเดิมอีกอย่างต่อเนื่อง โดยให้ท่องคำว่า ขวา แล้วยกปลายเท้าขวาขึ้นพร้อมทั้งภาวนาว่า ยก แล้วหมุนไปทางขวา 45องศา พร้อมทั้งภาวนาว่า กลับ แล้ววางเท้าลงพร้อมทั้งภาวนาว่า หนอ ส่วนท้าวซ้ายให้กำหนดคำบริกรรมว่า ซ้าย แล้วยกส้นเท้าซ้ายขึ้นพร้อมทั้งบริกรรมคำว่า ยก แล้วยกเท้าซ้ายมาพร้อมที่จะวางคู่เท้าขวาพร้อมกับบริกรรมคำว่า กลับ พอวางเท้าลงให้บริกรรมว่า หนอ เมื่อเท้าทั้งคู่หันกลับมาเรียบร้อยแล้ว ก็ให้ยืนกำหนดจิต แล้วทำเหมือนเดิมต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจิตจะเกิดความสงบ หรือสมควรแก่กาลพอควร แล้วแผ่เมตตา นั่งสมาธิ การนั่งสมาธิท่านั่งก็เป็นส่วนที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งท่านเปรียบไว้ว่าท่านั่งก็เหมือนกับแก้วน้ำที่ตั้งวางไว้ก่อนนั่งสมาธิ ถ้าแก้วน้ำตั้งตรงก็ย่อมรับน้ำได้ดีและมากกว่าแก้วน้ำที่ตั้งเอียง เมื่อรู้อย่างนี้แล้วท่านผู้ใฝ่ในการปฏิบัติกรรมฐานก็ควรจะพิจารณารับไว้เผื่อจะเป็นประโยชน์และเพิ่มประโยชน์ให้แก่ท่านผู้ปฏิบัติภวนาได้มากยิ่งขึ้น วิธีปฏิบัติสายหลวงปู่เทพโลกอุดรเริ่มต้นจาก นั่งสบายๆ แล้วจับขาซ้ายเข้ามาวางพร้อมทั้งภาวนาอย่างช้าๆว่า ซ้ายวางหนอ แล้วจับขาขวาเข้ามาวางพร้อมทั้งภาวนาอย่างช้าๆว่า ขวาวางหนอ ในท่านั่งขัดสมาธิเพชร คือขาขวาทับขาซ้าย (ท่าอื่นก็ใช้ได้เหมือนกัน ใช้หลักภาวนาคล้ายๆกัน) แล้วยกมือซ้ายเข้ามาวางที่ตักพร้อมทั้งภาวนาว่า ซ้ายวางหนอ แล้วยกมือขวาเข้ามาวางซ้อนมือซ้ายพร้อมทั้งภาวนาว่า ขวาวางหนอ นั่งเหยียดตัวให้ตั้งตรงที่สุดแล้วลดตัวลงมานิดหนึ่ง นั่นล่ะคือท่านั่งที่ตรงที่สุดแล้ว ให้สายตามองไปตรงๆแล้วกำหนดคำภาวนาว่า นั่งหนอๆๆ แล้วจึงค่อยๆหลับตาทั้งสองข้างพร้อมๆกันกับคำภาวนาว่า หลับตาหนอ แล้วให้กำหนดจิตจากที่นั่งขึ้นมาตรงกลางกระหม่อมว่า นั่ง แล้วจึงกำหนดจิตจากตรงกลางกระหม่อมลงไปข้างล่างว่า หนอ กำหนดให้ได้ 3 รอบ แล้วจึงกำหนดลมหายใจเข้าอย่างช้าๆว่า พุท แล้วกำหนดลมหายใจออกอย่างช้าๆว่า โธ ทำไปเรื่อยๆ เมื่อมีจุดใหนของร่างกายมีอาการต่างๆเกิดขึ้นจะกำหนดจิตปล่อยวางไม่สนใจโดยกำหนดสิ่งนั้นเมื่อสามารถเกิดขึ้นและตั้งอยู่ได้เป็นธรรมดา ก็ย่อมดับไปได้เองเป็นธรรมดาเช่นเดียวกัน หรือจะเอาจิตไปกำหนดตามอาการที่เป็น โดยภาวนาว่า ..........หนอ ไปเรื่อยๆ จนเมื่ออาการดีขึ้นแล้วก็ให้นำจิตกลับมากำหนดลมหายใจ เข้า ออก โดยบริกรรมคำว่า พุท โธ ตามเดิม เมื่อภาวนาสมควรแก่กาลแล้ว ให้กำหนดจิตจากล่างสู่บน และจากบนสู่ล่าง ว่า หยุดหนอๆๆ แล้วก็ค่อยๆลืมตาขึ้นพร้อมกับภาวนาว่า ลืมตาหนอ แล้วค่อยๆยกมือขวาขึ้นวางด้านข้างพร้อมทั้งภาวนาว่า ขวายกหนอ แล้วยกมือซ้ายขึ้นวางด้านข้างพร้อมทั้งภาวนาว่า ซ้ายยกหนอ แล้วยกขาขวาขึ้นวางตรงด้านหน้าพร้อมทั้งภาวนาว่าขวายกหนอ แล้วยกขาขวาแล้วเหยียดออกไปข้างหน้าพร้อมทั้งภาวนาว่า ขวาเหยียดหนอ แล้วยกขาซ้ายแล้วเหยียดออกไปข้างหน้าพร้อมทั้งภาวนาว่า ซ้ายเหยียดหนอ ทำกายบริหารตามสมควร เพื่อให้ร่างกายสามารถปรับสภาพตามเดิม แล้วทำการแผ่เมตตา
๗. กำหนดกสิน การกำหนดกสินก็มีวิธีทำแบบง่ายๆคือ กสินสีแดงให้ระลึกนึกภาพเป็นวงกลมให้ได้ เป็นแสงสีแดงหรือเปลวเทียน แล้วท่อง เตโช กสินังไปเรื่อยๆ กสินดินให้ระลึกนึกภาพเป็นวงกลมให้ได้ เป็นแสงสีแสด แล้วท่อง ปฐวี กสินังไปเรื่อยๆ กสินสีขาวให้ระลึกนึกภาพเป็นวงกลมให้ได้ เป็นแสงสีขาว แล้วท่อง อาโล กสินังไปเรื่อยๆ กสินอากาศให้ระลึกนึกภาพเป็นวงกลมให้ได้ เป็นโปร่งใสเหมือนอากาศ แล้วท่อง วาโย กสินังไปเรื่อยๆ กสินพระพุทให้ระลึกนึกภาพเป็นองค์พระให้ได้ แล้วท่อง พุทโธ กสินังไปเรื่อยๆ เป็นต้น ซึ่งการฝึกกสินส่วนใหญ่นั้นจะเน้นไปในทางอิทธิฤทธิเป็นส่วนใหญ่ เมื่อผู้ฝึกทำการปฏิบัติภาวนาจนทำให้กสินเปลี่ยน ก็พึงพิจารณาธรรมถึงความไม่เที่ยงของกสิน ภูมิธรรมก็จะเข้าสู่วิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งเป็นเส้นทางสู่นิพพานทันที
๘. กำหนดลูกแก้ว วิธีการฝึกก็คล้ายกับการฝึกกสิน แต่เมื่อระลึกเห็นภาพลูกแก้วตามที่ต้องการแล้วก็ให้กำหนดจิตส่งไปดูยังจุดศูนย์กลางของลูกแก้ว ทำไปเรื่อยๆ ขยายเข้า แล้วถอยออก เมื่อเห็นถึงความเปลี่ยนแปลง จิตจะเกิดสลดสังเวสพึงเห็นถึงความไม่เที่ยง กำหนดวิปัสสนาต่อไป
๙. ยิงจิต กำหนดจิตให้ระลึกเห็นเป็นรูปกรวยปลายแหลม ซึ่งด้านปลายแหลมจะออกนอกตัวเราเมื่กำหนดแน่ชัดแล้วก็กำหนดปล่อยยิงออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ให้ฝึกบ่อยๆ ให้ชำนาญ สามารถยืดอายุสังขารได้ เป็นต้น
๑๐. ภาวนาจากคาถา บทสวดมนต์ เลือกบทสวดมนต์ที่เรามั่นใจ เช่น บทอิติปิโส พาหุง ชินบัญชร เป็นต้น นั่งหลับตาแล้วภาวนาไปเรื่อยๆจนกว่าจะเกิดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์
๑๑. กำหนดจิตให้ยึดสุข วิธีการปฏิบัติก็คือ เริ่มแรกให้บริกรรมคำว่าปล่อยวาง ไปเรื่อยๆจนกว่าจิตจะละวางจากอารมณ์เศร้าหมองจนหมดสิ้น แล้วจึงเปลี่ยนคำบริกรรมว่า สว่าง บริกรรมไปเรื่อยๆจนกว่าจิตจะพบกับความสว่าง แล้วจึงเปลี่ยนคำบริกรรมว่า มีสุข บริกรรมไปเรื่อยๆจนกว่าจิตจะสบายพร้อมรับสุข แล้วจึงเปลี่ยนคำบริกรรมว่า รับสุข บริกรรมไปเรื่อยๆจนกว่าจิตจะสงบ แล้วจึงเปลี่ยนคำว่าสุข เป็นคำที่เราต้องการ เช่น โชค ลาภ เงิน ทอง เป็นต้น เอาทีละอย่างอย่าโลภมากเดี๋ยวลาภจะหาย เวลาบริกรรมจะกำหนดตามลมหายใจ เข้าออก ก็ได้
วิธีและแนวทางการฝึกปฏิบัติสมาธิดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นบางส่วนที่ตัวกระผมเองเคยสัมผัสมา ทั้งได้ทำการปฏิบัติดู เห็นผล มีผลบังเกิดได้จริง ตามวาระและโอกาสของจิต ซึ่งเป็นบางส่วนจากประสบการณ์จริงที่ได้รับรู้มา ทั้งทางโลกและทางธรรมโดยการเรียนรู้หรือรับจากทางจิต แต่ยังมีอีกมากที่ยังไม่ได้นำมากล่าวไว้ เพราะตัวกระผมเองเห็นสมควรว่าเท่าที่วิธีที่ได้กล่าวบรรยายมาเบื้องต้น ไว้ให้กับท่านทั้งหลายผู้ใฝ่ในการปฏิบัติภาวนา ก็คงจะศึกษาไม่จบ แต่ถ้าผู้ใดมีความสนใจอยากเรียนรู้เพิ่มเติมเนื่องจากสามารถปฏิบัติดังที่ข้าพเจ้าได้บรรยายไว้ข้างต้นจนสำเร็จลุล่วงได้ในระดับหนึ่ง ได้แล้ว ข้าพเจ้าก็มีความยินดีที่จะบอกกล่าววิธีอื่นๆที่ท่านพึงสนใจปรารถนาได้เช่นเดียวกัน ท้ายหัวข้อนี้ข้าพเจ้าก็พึงปรารถนาขอให้ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้พบสุขอยู่ตลอดทุกเมื่อทุกกาล สาธุกาล ก็ข้าเทอญ สาธุ
๔.ว่าด้วยเรื่องของปัญญา
ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วสำหรับเรื่องการให้ทานซึ่งจะช่วยเป็นพื้นฐานให้จิต รู้จักการปล่อยวางสิ่งของนอกกาย ซึ่งยังเป็นของหยาบอยู่ แล้วก็ตามมาด้วยเรื่องของการรักษาศีล ซึ่งจะช่วยให้จิตรู้จักการปล่อยวางจากการทำผิด ควบคุมใจ รักษาใจ ซึ่งค่อนข้างจะมีความละเอียดขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง แล้วตามด้วยการปฏิบัติภาวนาซึ่งเป็นภูมิธรรมที่ละเอียดมากขึ้น แต่การละวางจากกิเลสที่ละเอียดมากขึ้น ก็ยังไม่หมดสิ้นทุกข์ เพราะว่าการละวางกิเลสในขั้นที่สามนั้นยังไม่ถาวร คือเลิกได้ชั่วขณะใดขณะหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ยังไม่ขาดสะบั้น จะทำอย่างไรล่ะถึงจะสามารถกำจัดกิเลสให้หมดไป ให้ขาดไปได้อย่างถาวรจริงๆ ซึ่งจะทำให้เราไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก พระพุทธเจ้าท่านใช้วิปัสสนากรรมฐานซึ่งมีพื้นฐานมาจากปัญญา ควบคู่กับสตินั่นเอง เราจึงต้องนำปัญญาเข้ามาช่วยเหมือนกับหลายๆท่านที่ได้กระทำด้วยความพากเพียร ผ่านพ้นวัฏฏสงสารได้มา ก็มากมายแล้ว กระผมจะอธิบายตามหลักการของจริงเบื้องต้นให้ฟังเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายๆ ดังนี้
๑. เราจะพิจารณาเรื่องของจักรวาล ว่าด้วยเรื่องของจักรวาลนั้นไม่มีใครสามารถกำหนดรู้ได้เลยว่าจักรวาลสามารถเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธะเจ้าท่านยังเคยกล่าวไว้ในบันทึกพระไตรปิฏกว่า ท่านก็ไม่สามารถรู้ได้เช่นเดียวกันว่าจักรวาลเกิดขึ้นมาได้อย่างไรเมื่อท่านพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่ามันมีของมันอยู่อย่างนี้มาตั้งนานแล้ว แต่ไม่ได้มีแค่เรายังมีจักรวาลอื่นๆอีกมากมายนับไม่ถ้วน ธรรมมะข้อนี้สอนให้เรารู้ได้ว่าทุกอย่างย่อมเกิดขึ้นมาได้เอง ตั้งอยู่ได้ และรอวันที่จะสูญสลายไปเพื่อรอวันเริ่มเกิดขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง
๒. เราจะพิจารณาเรื่องของโลก โลกมนุษย์ก็ไม่มีเคยสามารถรู้ได้เลยว่ามันเกิดมาเมื่อไหร่เพื่ออะไร แต่ในบันทึกในพระไตรปิฏกว่าด้วยเรื่องพระโมคคัลลาหลงทาง เมื่อครั้งสมัยพุทธกาลพระโมคคัลลานะได้แสดงอิทธิ์ฤทธิ์ออกไปนอกโลก นอกจักรวาล ไปเรื่อยๆจนกระทั่งไปเจออีกจักรวาลหนึ่ง อีกโลกหนึ่ง ซึ่งมีสิ่งมีชีวิตคล้ายๆกันกับโลกมนุษย์ ซึ่งได้ไปเจอพระพุทธเจ้ากำลังแสดงธรรมให้แก่พุทธบริษัท ฟัง พระโมคคัลลานนะจึงเหาะลงไปแสดงความเคารพบูชาแล้วแจ้งเหตุ แก่พระพุทธเจ้าแห่งนั้นฟังว่า ได้เหาะมาและหลงทางหาทางกลับไปยังโลกเดิมที่เหาะมาไม่ได้ พระพุทธเจ้า ณ ที่นั้นจึงชี้ทางให้ พระโมคคัลลานะจึงสามารถเหาะกลับมายังโลกมนุษย์ที่เดิมได้ ธรรมมะข้อนี้สอนให้รู้ว่าอย่าเป็นผู้ประมาท
๓. เราจะพิจารณาเรื่องของเทพเทวา พระพุทธเจ้าเคยกล่าวไว้ว่าเรื่องของเทวดา นางฟ้า มันก็มีของมันอยู่อย่างนั้นมาตั้งนานแล้วเหมือนกับโลกและจักรวาล ที่เกิดขึ้นเองเช่นเดียวกัน ธรรมมะข้อนี้สอนให้รู้ว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนเกิดคล้ายๆกัน มีจุดกำเนิดอยู่ในวงโคจรเดียวกัน
ธรรมทั้ง ๓ ข้อเบื้องต้นนั้นรู้ ได้แต่อย่าไปสนใจมากเพราะจะทำให้เสียเวลาเป็นเรื่องไกลตัว
๔. เราจะพิจารณาถึงการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย คนเราเกิดมาล้วนเกิดจากกรรมทั้งสิ้น เมื่อเคยทำกรรมอันใดไว้แล้ว จะดีหรือชั่วก็ตาม ก็ย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมแตกต่างกันไปตามวาระการให้ผลของกรรม ดังเช่น บางคนเกิดมารวย เพราะเคยให้ทานมาก บางคนเกิดมาจนเพราะไม่เคยให้ทานเลย เป็นต้น ถ้าเราจะดูต่อไปว่าทำไมบางคนเกิดยากจนแล้วเมื่อโตขึ้นกลับร่ำรวยทั้งที่เขาคนนี้ก็ไม่ใช่คนชอบทำบุญทำทาน เหตุเป็นเพราะว่าบุญกุศลของเขาคนนั้นที่เคยได้กระทำมาตามมาถึงพอดี จึงไม่แปลกที่เขาจะมีทรัพย์สิน เงินทอง เพิ่มขึ้น ซึ่งผลบุญที่ได้รับในช่วงดำเนินชีวิต เรียกว่ากรรมสืบเนื่อง คือกรรมที่ไม่ได้ส่งผลให้เกิดแต่กลับมาส่งผลให้ ภายหลังจากการเกิดแทน ซึ่งก็จะมีทั้งกรรมดี และกรรมชั่วตามวาระกรรมที่บุคคล คนนั้นได้พึงกระทำมาแต่ครั้งกาลก่อน พระท่านจึงชอบพูดบ่อยๆว่าคนเราเลือกเกิดไม่ได้เพราะมีก่อนที่ส่งผลตอนเกิดและช่วงดำเนินชีวิต แต่ทุกคนมีสิทธิ์เลือกที่จะทำความดีในชาติภพนี้ได้เพราะว่ากรรมในอดีตจะเปิดช่องให้เราเลือกทำกึ่งหนึ่งไว้เสมอ ถ้าเราทำดีและได้บุญแรง บุญบารมีที่เราได้กระทำก็สามารถจะมาช่วยส่งผลให้ชีวิตของเราดีขึ้นได้เหมือนกัน ขอแค่เราอย่าท้อแท้และจงทำต่อไปเถิดแล้วจะเกิดผลขึ้นได้ในสักวันหนึ่ง สำหรับการพิจารณาอาการของวาระสังขาร การเกิด แก่ เจ็บและตายนั้น ก็เข้าหลักธรรมของความไม่เที่ยง คือทุกอย่างล้วนเป็น อนิจจัง อนัตตา ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะว่าตัวกำหนดรู้ของเรานั้น กำหนดขึ้นมาเอง เพราะฉะนั้นทุกอย่างล้วนไม่มีอะไรเป็นของจริงเลย คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่และก็ดับไปเป็นธรรมดา ตามวาระของแรงกรรม และสภาวะที่เหมาะสม แต่ก็ยังห่างจากตัวเรามาก
๕. การกำหนดที่เร็วที่สุด ก็คือการกำหนดรู้ถึงความไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน ไม่ใช่ของจริง เป็นแค่รูป นาม สมมุติขึ้นมาทั้งนั้น ทุกอย่างล้วนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้กำหนดรู้ทุกขณะจิต ทุกวาระจิต ทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อเรากำหนดได้ดังนี้แล้ว ธรรมมะก็จะอยู่ใกล้ๆตัวเรานี่เอง มีทุกที่ ทุกสถาน ไม่ว่าจะใกล้หรือจะไกล มีทุกอย่าง รู้อะไรก็เกิดวามสลดสังเวช เห็นถึงความไม่เที่ยงแล้วก็ปล่อยวางซะ เพื่อไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นกับอารมณ์ที่พิจารณา อาจจะส่งผลทำให้จิตใจเศร้าหมองได้ เพราะฉะนั้นธรรมมะไม่ได้อยู่ที่อื่นหยุดวิ่งหาธรรมนอกกาย แล้วจงรู้ธรรม
๖. รู้ธรรมให้ถูกวิธี มนุษย์ทุกคนต่างมีภูมิธรรมของวาระจิตที่ดีอยู่แล้ว เปรียบเสมือนเรามีเทียนกันคนละเล่ม พร้อมและรอที่จะจุดไส้เทียนให้เกิดประกายไฟเพียงแค่นั้น แต่วิธีที่จะจุดไฟนั้นอาจจะแตกต่างกันไปตามวาระของจิต จงดูวิธีที่จะจุดไฟ แล้วค้นหาวิธีที่จะจุดไฟให้เกิดขึ้นกับเทียนของท่านเองเถิด ซึ่งท่านต้องเป็นคนเดินไปหาคำตอบของตัวของท่านเอาเอง
๕.ประสบการณ์ทางจิต
๑. ก่อนจุติ ข้าพเจ้าเคยได้รับรู้นิมิตของตัวข้าพเจ้าเองก่อนที่จะลงมาเกิดในโลกมนุษย์ตามวาระกาลที่จะต้องลงมาเกิด เมื่อก่อนที่ดวงจิตของข้าพเจ้าจะลงมาเกิดนั้นจะมีลักษณะรูปร่างเหมือนกับพญาลิงเผือก ซึ่งจะมีรูปร่างคล้ายกับหนุมาน มีฤทธิ์เหมือนหนุมาน แต่ไม่ใช่หนุมาน เมื่อถึงวาระที่จะต้องลงมาเกิดฝ่ายข้าพเจ้าไม่ยินยอมลงมาจึงเกิดการไล่ล้อม จากเหล่าเทพเทวาทั้งเมืองสวรรค์เกิดขึ้น เกิดการสู้รบแต่จะไม่ทำร้ายกันให้เกิดการอาฆาต แต่ฝ่ายตัวดวงจิตของข้าพเจ้าเองเมื่อต่อสู่กับเหล่าเทวดาทั้งเมืองสวรรค์มากเข้าก็เกิดความเหนื่อยล้า ฝ่ายเทวดาก็ล้อมอาณาเขตของข้าพเจ้าให้แคบและเข้าใกล้กับบ่อจุติ ซึ่งบ่อจุติจะมีด้วยกันทั้งหมดอยู่ ๓ บ่อ ซึ่ง จะมี ๑.บ่อดำ ซึ่งเมื่อเทวดาองค์ใดได้ลงบ่อนี้ในเวลาเกิดจะตกระกำลำบากมาก ๒.บ่อเงิน ซึ่งบ่อนี้เมื่อเทวดาองค์ลงมาจุติจะมีฐานะความเป็นอยู่แบบปานกลาง และ๓.บ่อทอง ถ้าเทวดาองค์ใดได้ลงมาจุติโดยผ่านบ่อนี้ จะเป็นคนที่มีฐานะดี เป็นเศรษฐีหรือเกิดเป็นเชื้อเจ้าพระมหากษัตริย์ ซึ่งเมื่อข้าพเจ้าโดนไล่มาจนเกือบจะจนมุมจึงนึกขึ้นได้ว่า วังหรือปราสาทที่ท่านท้าวพระยามารอาศัยอยู่ อยู่ใกล้ๆนี่เอง เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงได้แอบเข้าไปขโมยเอา แก้ววิเศษและเหล็กใหล กลืนกินเข้าไปในท้อง เมื่อสมุนของเหล่าพระยามาร มองเห็นข้าพเจ้ากลืนกินของวิเศษของพระยามารเข้าไปก็ได้รวมพลตามไล่ล่าดวงจิตของข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าโดนไล่จนมาถึงบ่อจุติทั้ง ๓ บ่อ ซึ่งจะมีเทวดาผู้เฒ่าผมยาว หนวดยาว รกรุงรังไปหมด ใส่ชุดขาว ถือไม้เท้าสีขาว ตรงปลายจะมีลักษณะเป็นม้วนๆ เข้าเจ้าก็ได้ถามถึงบ่อทั้งสามคือ อะไรท่านผู้เฒ่าก็สาธยายให้ฟังพร้อมทั้งบอกว่า บ่อของท่านที่จะได้ลงไปจุติก็คือบ่อทอง แต่ในขณะนั้นดวงจิตของข้าพเจ้าหันหลังให้บ่อจุติ โดยไม่ได้คิดที่จะลงจริงๆ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเหล่าเทพและสมุนของพระยามารไล่ตามมาทันจึงเกิดความตกใจพลัดตกลงไปในบ่อดำ ซึ่งเมื่อท่านผู้เฒ่าได้เห็นก็ถึงกลับร้องให้คร่ำครวญว่าข้าพเจ้าซวยแน่แล้วส่งลงผิดบ่อ ฝ่ายข้าพเจ้าก็ตะโกนบอกไปว่าไม่เป็นไรหรอกท่าน และท่านผู้เฒ่าก็ตะโกนบอกมาว่าท่านไม่ต้องเป็นห่วงถึงแม้จะตก ระกำ ลำบาก ท่านก็จะเอาตัวรอดได้ทุกครั้งเพราะว่าบารมีของท่านจะช่วยเอาไว้ได้ตลอดเวลา เมื่อดวงจิตของข้าพเจ้าตกลงมา ก็มีไก่กับลิงมารองเท้าทั้งสองเป็นพาหนะให้ลงมาเกิด จะขึ้นกลับไปได้ก็ต้องสิ้นภพสิ้นชาติปัจจุบันเสียก่อนเท่านั้น
จากนิมิตสอนให้รู้ว่าจิตคนเราเหมือนกับลิง ซึ่งจะอยู่นิ่งๆได้ยาก จึงต้องไล่ต้อนเพื่อให้สงบ
๒. เมื่อจุติและจำความได้ อายุประมาณ ๓ ขวบ ข้าพเจ้าโตขึ้นมาพอจำความได้ ถ้าข้าพเจ้าตื่นนอนตอนเช้า เวลาประมาณ 07:00 น.ของทุกวัน พระภูมิเจ้าที่ที่รักษาบ้านของข้าพเจ้า ท่านจะมาอวยพรและพูดเล่นด้วยเสมอ ซึ่งในขณะนั้นท่านเป็นเทวดาหนุ่มรูปงานแต่กายด้วยชุดสีเขียวตัดกันกับผ้าสีขาวทั้งองค์ ประดับประดาด้วยเครื่องทรงกายตามสมควร และในบางวันก็จะมีพระอินทร์กับพระพรหม มาให้พรและสนทนาตามกาล ซึ่งพระอินทร์กับพระพรหมรูปร่างลักษณะการแต่งการของท่านทั้งสองเหมือนกับรูปปั้นในโลกมนุษย์จริงๆ และจะมีอยู่ครั้งหนึ่ง มีเทพบุตรถือสมุดบัญชีเหาะลงมาพร้อมทั้งให้ข้าพเจ้าขอพร ๑๐ ข้อ เหมือนกับพระเวสสันดร ในขณะนั้นตัวข้าพเจ้ายังเด็กนักจึงขอพรอย่างไม่ได้เรื่องไป ๙ ข้อ เสียของเปล่า แต่ข้อสุดท้ายข้าพเจ้าเลยขอให้สิ่งใหนที่ข้าพเจ้าพึงปรารถนาอยากได้ขอให้ได้และสำเร็จทุกอย่าง ท่านเทพบุตรกล่าวว่าข้าพเจ้าขี้โกงจึงได้เหาะหายไปและไม่กลับมาอีกเลย วันเวลาได้ผ่านไปด้วยเรื่องราวซ้ำซากๆ จนวันหนึ่งพระยามารได้ตามมาเจอตัวของข้าพเจ้า และหาทุกวิถีทางที่จะเอาของกายสิทธิ์กลับคืนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากข้าพเจ้าจะยอมมอบคืนให้จนมีวันหนึ่ง พระยามารได้ขู่ว่าจะเอาชีวิตของบิดา มารดาของข้าพเจ้า ด้วยจิตที่ยังเด็กไม่ทันเล่เหลี่ยมของฝ่ายพระยามาร จึงได้ยินยอมจะมอบให้โดยอ้างปากให้พระยามารเอามือดำๆใหญ่ๆล้วงเข้าไปในปากเพื่อ จะหยิบเอาลูกแก้วและเหล็กไหลกายสิทธิ์ แต่ก่อนที่พระยามารจะจากไปก็ได้บอกไว้ว่าท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอกในตัวท่านยังมีของวิเศษอีกอย่างหนึ่งซึ่งดีที่สุดนั่นก็คือ พระแก้วมรกต ท่านประดิษฐานอยู่ตรงกลางหน้าอกของท่าน เฝ้าปฏิบัติบูชาให้ดี เพราะสิ่งนี้ไม่มีใครสามารถนำเอา หรือแย่งเอาไปจากตัวท่านได้หรอกและหลังจากวันนั้นพระยามารก็จากไปแล้วก็ไม่เคยเจอกันอีกเลย จากนิมิตสอนให้รู้ว่าคนเรามีของดีอยู่กับตัวกันทุกคน (พระที่ใจ) ไม่มีใครแย่งเอาไปจากตัวเราได้ แต่คนเรากลับชอบวิ่งหาสิ่งอื่นที่อยู่รอบตัวมากกว่าค้นหาของดีที่อยู่ในตัว สุดท้ายเขาก็มาพรากไปจากเรา( สิ่งของนอกกาย) ลาภ ยศ สรรเสริญ ของรัก ของหวง ร่างกาย สังขาร วิญญาณเมื่อถึงเวลาอันควรแก่กาลที่เหมาะสม
๓. กำหนดชีวิต จะมีเทวดาผู้เขียนแนวทางการดำเนินชีวิตของแต่ละบุคคล ทุกคนล้วนแล้วแต่ถูกกำหนดชีวิตให้มาเกิดเป็นไปตามบันทึก แต่สำหรับตัวข้าพเจ้าเทวดาผู้รักษาสมุดบันทึกการดำเนินชีวิต บอกให้ข้าพเจ้าเป็นคนกำหนดเอง จึงกำหนดให้ผ่านความทุกข์ยากลำบากก่อนแล้วเมื่ออายุครบ ๓๐ ปี จะมีครบทุกอย่าง แล้วเมื่ออายุครบ ๕๐ ปี จะหาใครมีเท่าได้ไม่จะเกินผู้อื่นในหลายๆด้านดลบัลดาลได้ตามใจปรารถนา จากนิมิตสอนให้รู้ว่าเราสามารถเลือกทำได้กำหนดการกระทำของตัวเองได้ถ้ามันถูก เราไม่จำเป็นต้องทำตามคนอื่นทุกอย่างถ้ามันผิด
๔. เมื่อจุติและจำความได้ อายุประมาณ ๔-๗ ขวบ เมื่อโตขึ้นข้าพเจ้าเป็นคนที่ชอบนั่งสมาธิชอบเห็นนั่นเห็นนี่ในวาระของจิตอยู่เรื่อยๆ และสามารถสะกดสัตว์เช่นสุนัข โดยใช้วิธีตามประสาเด็ก เอาน้ำลายเขียนเป็นรูปหัวใจบนหน้าผากสุนัขแล้วกำหนดจุด ๓ จุด ท่องนะโม ๓ จบ แล้วสั่งให้ทำตาม ปรากฏว่าได้ผลทุกครั้งจนชาวบ้านเข้าใจผิดแล้วถามว่าผมไปได้สุนัขมาเลี้ยงไว้ตั้งแต่เมื่อไร ตัวกระผมเองก็ได้แต่ยิ้มตอบ และในบางครั้งก็สามารถเสกของให้หายได้ดังใจนึก วิธีก็ง่ายๆนำวัตถุ สิ่งของ ที่ต้องการทำให้หาย วางไว้ข้างหลังแล้วหลับตาท่อง นะโม ๓ จบ แล้วอธิฐานให้หาย ปรากฏว่าสิ่งนั้นก็หาย อยากให้กลับมาก็ทำตามวิธีเดิมก็ปรากฏว่ามาตามเดิม การทำสมาธิจิตของข้าพเจ้ามีวันหนึ่งปรากฏนิมิตประหลาด คือมีลูกไฟ ลอยลงมาจากฟากฟ้า ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นสิ่งของมีค่าตกลงมาจากฟากฟ้า รวมไปถึงพ่อแม่ของข้าพเจ้าด้วย เมื่อลูกไฟลอยมาตกลงพื้นโลกทั้งพื้นดินและทุกสรรพสิ่งที่ขวางทางต่างโดนลูกไฟทำลายล้างจนหมดสิ้น ดูท่ามันคงไม่หยุดถ้าโลกใบนี้ยังไม่พินาศ ลูกไฟได้กลิ้งมายังบิดาและมารดาของข้าพเจ้า ในขณะนั้นข้าพเจ้ามีฤทธิ์สามารถลอยหนีขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ พร้อมทั้งสามารถหยุดลูกไฟไดด้วยแต่ตัวเองต้องตายไปกับการหยุดลูกไฟ เมื่อลูกไฟได้ลอยมาใกล้ถึง ร่างของบิดามารดาของข้าพเจ้า ตัวข้าพเจ้าเองจึงได้ตัดสินใจลอยเข้าปะทะกับลูกไฟ ร่างแหลกสลายทันที เสียงดังก้องสะนั่นหวั่นไหวหาประมาณมิได้ เมื่อจิตเกินควบคุมอาการของวาระจิตจะแตกก็เกิดขึ้น หลังจากนั้นจึงได้หยุดนั่งสมาธิและเลือกสนใจ ก็มีเหลือแค่การสื่อสารกับสัตว์ตัวเล็กๆตามโอกาส จากนิมิตสอนให้รู้ว่าถ้ายังตัดห่วงไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะมีอิทธิ์ฤทธิ์คือฌาน สามารถเหาะเหิรเดินอากาศได้ สุดท้ายก็ต้องพบกับความพินาศได้เช่นกัน
๕. ห้ามฟ้า ห้ามลม ห้ามฝน ได้ เมื่อข้าพเจ้าอายุได้ประมาณ ๑๕ ปี ก็เริ่มมีความสนใจเกี่ยวกับการปฏิบัติภาวนาอีกครั้งหนึ่ง โดยการภาวนาพระคาถาชินบัญชร ข้าพเจ้าจะท่องจนขึ้นใจและท่องอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ บางวัน ๑๐๘ จบ เป็นอย่างต่ำ เมื่อถึงโอกาสที่จำเป็นก็เกิดเรื่องเหลือเชื่อขึ้นคือ ข้าพเจ้าตั้งนะโม ๓ จบ แล้วอธิษฐาน ขอให้ฟ้าหยุดร้อง ขอให้ลมหยุดแรงหรือขอให้ฝนหยุดตก แล้วท่องคาถาพระชินบัญชร ยังไม่ถึงจบปรากฏว่าทุกอย่างหยุดไปตามที่ตัวเองปรารถนาจริงๆ จึงได้ทำการทดสอบอีกอย่าง ๕ ครั้ง ติดต่อกันปรากฏว่าได้ผลเหมือนเดิม จึงพอสรุปได้ว่า พระคาถาชินบัญชรสามารถห้ามฟ้า ห้ามลมและห้ามฝนได้จริง
คติธรรม สอนให้เรามั่นใจได้ว่า แม้แต่ ฟ้า ลมและฝน เรายังมีโอกาส ที่จะสามารถหยุดมันได้แล้วทำไม คนเราจะไม่สามารถหยุดทุกข์หรือห้ามทุกข์ได้เล่า ทุกอย่างล้วนเป็นไปได้เสมอ
๖. บังคับเปลวไฟได้ ขออะไรได้ทุกอย่าง เมื่อข้าพเจ้าเห็นผลว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงจึงได้เริ่มศึกษาให้มากขึ้นโดยการท่องบทพระพุทธคุณ ๑๐๘ จบ ควบคู่กับการเพ่งเปลวไฟด้วยตามนุษย์ ปรากฏว่าสามารถบังคับเปลวไฟให้ลุกสูง แรงก็ได้ ต่ำก็ได้ ดังใจสั่ง พร้อมทั้งเมื่อปรารถนาสิ่งใดมักจะได้ทุกครั้งและได้มาโดยง่ายด้วย โดยเฉพาะพวกเครื่องรางของขลังยิ่งง่าย
คติธรรม สอนให้เราไม่ตั้งมั่นอยู่ในความประมาท เพราะว่า หลายๆสิ่งที่มนุษย์คิดว่า ไม่สามารถเป็นไปได้ เกิดขึ้นได้ ทำได้ ก็เกิดขึ้นแล้ว เป็นไปแล้ว ทำแล้ว สิ่งเหล่านี้มีจริงแล้วนรก สวรรค์และนิพพานล่ะ ท่านทั้งหลายคิดว่ามันมีอยู่จริงใหม ถ้ามีล่ะยังจะดำรงชีพอยู่ด้วยความประมาทใหม ถึงแม้ว่าทุกอย่างมันจะไม่เที่ยงแต่ตราบที่มันมีอยู่ เราก็ทุกเหมือนเดิม
๗. เริ่มศึกษาเรื่อง เวทมนต์และคาถา ซึ่งจะศึกษาแบบครูพักลักจำเป็นส่วนใหญ่ซึ่งเรื่องคาถา อาคา บางบทก็มีความศักดิ์สิทธิ์สมกับคำล่ำลือจริงๆ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ คติธรรม ทุกอย่าง ทุกสรรพสิ่ง ล้วนเกิดขึ้นที่จิต อยู่ที่เรากำหนด ถ้าจิตตั้งมั่น ผ่านการฝึกฝนมาดีแล้ว ทุกอย่างที่ท่านคิด ก็สามารถที่จะเป็นไปได้เสมอและความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ก็อยู่ที่จิต ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นจากตัวของท่านเอง ว่าจะสามารถทำให้เกิดความขลังได้มากน้อยเพียงใด ท่านเป็นผู้กำหนด ดังจะเห็นได้จากหลายๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ทำไมพระองค์เดียวกัน ชนิดเดียวกัน รุ่นเดียวกัน สรรพคุณบอกไว้อย่างชัดเจนว่า ใครมีแล้วจะร่ำรวยกลายเป็นมหาเศรษฐีในเร็วพลัน แต่เมื่อมีคนนำมาใช้อย่างมากมายกลับพบว่า บางคนก็รวยจริงๆแต่บางคนกลับยิ่งจนกว่าเดิมทั้งยังหลงทางเดินไปในทางที่ผิด เคยมีเรื่องเล่าแต่ครั้งก่อนว่า มีทหารคนหนึ่งออกรบในสงคราม โดยทหารคนนั้นได้นำพระติดตัวไป ๑ องค์ แล้วอมไว้ในปากเนื่องจากว่า มือของเขาไม่ว่างที่จะใช้จับองค์พระ ทหารคนนั้นได้ออกรบจนเผลอทำพระหลุดออกจากปาก ด้วยความชลมุน สายตาก็คอยแต่จะจดจ้องอยู่กับข้าศึกศัตรู จึงคว้าสุ่มสี่สุ่มห้าได้เขียดมาตัวหนึ่งแทน แล้วก็หยิบเข้าปากโดยไม่ได้ดู เมื่อเขียดตัวนั้นเข้าไปในปากด้วยสัญชาตญาณของสัตว์ที่จะต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของตัวมันเอง ทันใดนั้นเขียดก็ได้ดิ้นสุดแรงและมีความต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ฝ่ายทหารคนนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้นกลับคิดว่า พระขึ้นหรือของขึ้น ทันใดนั้นก็มีจิตใจฮึดเฮิม เกิดความเชื่อมั่นว่าพระมีความศักดิ์สิทธิ์จริงแท้ จึงมีความมั่นใจที่จะต่อสู้อย่างห้าวหาญโดยไม่มีความกลัวตายหลงเหลือไว้เลยแม้แต่น้อย จึงได้คงกระพันหนังเหนียวต่อสู้จนชนะศึก ได้โดยเร็วพลัน แต่เมื่อรู้ภายหลังว่าที่แท้จริงแล้วสิ่งที่ตนเองคิดว่าเป็นของวิเศษเลิศล้ำ ฟันแทงไม่เข้ากลับกลายเป็นเขียดธรรมดา แค่ตัวเดียว เท่านั้นเอง เมื่อศรัทธาตก ความขลังก็หายไปโดยทันที และยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ในสมัยก่อนมีจอมขมังเวทอยู่หนึ่งคน มีคาถาดี คือ นะโมพุทธายะ แต่ชายคนนี้มีลูกชายอยู่ ๒ คน ซึ่งลูกชายคนโต จะเป็นคนที่ผู้ชายคนนี้รักมากที่สุด จึงอยากให้วิชาแก่ลูกชายคนนี้เพียงคนเดียวแต่ถ้าทำอย่างนั้นก็อาจจะถูกลูกชายคนเล็กว่ากล่าว ว่าไม่มีความยุติธรรมเอาได้ ดังนั้นจึงทำทีว่าให้ลูกชายคนเล็กแอบฟังห่างๆอยู่ใต้ถุนบ้านจะได้เกิดความขลัง ส่วนลูกชายคนโตให้มาฟังบนบ้านจะได้ถูกจารีตธรรมเนียมเดิม เมื่อเกิดความเชื่อดังนั้นแล้ว ลูกชายคนโตและลูกชายคนเล็กก็ทำตามโดยทันที เมื่อได้ฟังคำบอกกล่าว บทคาถาแล้ว ลูกชายคนโตก็นำคำว่า นะโมพุทธายะ ไปสวดภาวนาแต่ไม่ค่อยมีความเชื่อถือและตั้งมั่น ไม่เหมือนกับลูกชายคนเล็กที่ฟังเอาคาถาไปผิดๆเหตุเพราะว่าตัวเองอยู่ใต้ถุนบ้านพร้อมทั้งอยู่ห่างไกลจากต้นเสียงมาก จึงได้ฟังเสียงบอกกล่าวไม่ค่อยจะชัด โดยบอกเพียงครั้งเดียว ได้ยินว่า นะโมพุทธาเยะ แต่ลูกชายคนเล็กกลับนำไปสวดภาวนาอย่างไม่ลังเลสงสัย เกิดความเชื่อมั่น จนทำให้คาถาที่จำมาผิดๆเกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อ เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ลูกชายคนโตซึ่งได้บทคาถาที่ถูกต้องแต่สวด โดยที่ไม่มีความเชื่อมั่นในพระคาถา มีฐานะความเป็นอยู่เพียงแค่พออยู่พอกิน ซึ่งแตกต่างกันกับลูกชายคนเล็กถึงแม้ว่าจะท่องคาถา ซึ่งไม่มีความถูกต้องเลย แต่สวดด้วยความเชื่อมั่นตั้งมั่นกลับบังเกิดความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก เขามีฐานะถึงขั้นมหาเศรษฐีซึ่งร่ำรวยกว่าพ่อของเขาเสียอีก ทั้งยังมีเมตตามหานิยมมากมายนัก และนั่นจึงเป็นที่มาของการดัดแปลงบทพระคาถา อาคมต่างๆที่เราๆ ท่าน ๆ และคุณๆ ท่านหลายได้ว่ากล่าวและสวดภาวนากันอยู่
๘. ความเสื่อม ถึงแม้ว่าเวทย์มนต์ คาถาอาคม จะมีความเข้มขลังสักปานใดแต่ถ้าไม่ระวัง ความเสื่อมก็อาจจะเกิดขึ้นได้อยู่ทุกเวลา สถานที่ เมื่อถึงโอกาสและวาระที่เหมาะสมควรแก่กาล ถึงแม้ว่าท่านจะเก่งกล้าสักปานใด แต่ท่านก็ยังอยู่ภายใต้ของกฎแห่งกรรมเหมือนกับคนอื่นแต่จะต่างกันที่ว่าท่านจะมีกรรมส่วนใหนดีมากหรือน้อยกว่าเขาเหล่านั้นเพียงใด ก็แค่นั้นเอง (ถ้าท่านพึงเป็นบุคคลที่ไม่มีความประมาทอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก หรือทุกขณะจิต อยู่เสมอ ความเสื่อมคงจะมีโอกาสได้เข้าใกล้ตัวท่าน ช้ากว่าคนอื่นอย่างแน่นอน )
๖. คำยืนยันจากสายครูบาอาจารย์และผู้ปฏิบัติธรรม
๑. หลวงปู่เจียม วัดกะม่อล จังหวัดศรีษะเกษ เจอกันครั้งแรกหลวงปู่ท่านเรียกตัวของกระผมว่าอาจารย์ใหญ่ เป็นผู้มีบารมีสูงมากลงมาจุติ สูงมากหาประมาณมิได้ มีหลวงปู่ใหญ่ ๔ องค์เป็นผู้เฝ้าดูแลพระตำราอันศักดิ์สิทธิ์ ๓ ฉบับใหญ่ไว้ให้ ใครก็เข้าไปเปิดอ่านดูไม่ได้นอกจากตัวข้าพเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น เมื่อข้าพเจ้าถามหลวงปู่เจียมว่าหลวงปู่ใหญ่คือใครแล้วข้าพเจ้าคือใคร ท่านบอกว่าหลวงปู่ใหญ่ไม่ให้บอก จึงบอกไม่ได้ ทำอะไรขลังและศักดิ์สิทธิ์ไปหมดทุกอย่าง จะได้เป็นอาจารย์ใหญ่ทั้งทางโลกและทางธรรม ทั้งยังสามารถปรารถนาที่จะบรรลุธรรมได้ในชาตินี้และสามารถบรรลุธรรมได้ ซึ่งหลวงปู่เจียมท่านจะเป็นพระที่มีความปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอยู่ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจ เข้าและออก อย่างไม่เคยเพี้ยนจากสภาวะของการทำความดีเลย ซึ่งท่านเป็นพระที่มีความน่าเลื่อมใสและศรัทธาเป็นอย่างยิ่งทั้งยังเป็นที่เคารพนับถืออย่างหนาแน่นของผู้คนที่ตกทุกข์ได้อย่างในแถบนั้นเป็นอย่างมาก โดยถ้าใครมีเรื่องทุกข์ร้อน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด ท่านจะช่วยเหลืออย่างไม่สนใจว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะเป็นคนยากดีมีหรือจน มาจากใหน ทุกคนมีความเสมอภาคหมดสำหรับท่าน แล้วท่านจะพิจารณาทางจิตเป็นใหญ่กว่าการทำพิธีทางไสยศาสตร์ โดยถ้าใครถูกของ โดนคุณไสยมา ท่านก็แค่ให้เอาขันธ์ ๕ มีดอกไม้ ธูป และเทียน มาบูชาท่าน แล้วท่านก็ทำพิธีสวดอะไรนิดๆหน่อยๆ ไม่ถึงครึ่งนาที ปรากฏว่าคนที่โดนของมาหายจากอาการแปลกประหลาดเป็นปลิดทิ้ง ( คนป่วยไม่ได้มา มีแต่ พ่อแม่ มาขอความเมตตาให้ช่วยเหลือ) ส่วนเรื่องเวทมนต์ คาถา หลวงปู่ก็เป็นที่หนึ่งในแถบนั้น มีอยู่ครั้งหนึ่งกระผมเคยขอเรียนวิชาจากท่าน ท่านบอกตัวหลวงปู่มีวิชาน้อยแค่นิดเดียวเองคงจะเทียบกับวิชาที่ท่านมีอยู่ไม่ได้หรอก อย่าเรียนเลย ให้ปฏิบัติภาวนาให้ถึงแล้วทุกอย่างจะปรากฏขึ้นมาให้ท่านได้เรียนรู้เอง ใครก็ไม่สามารถเข้าไปเปิดอ่านหรือดู แม้แต่เข้าใกล้ ตำราทั้ง ๓ ของท่านได้เลย เพราะมีหลวงปู่ใหญ่คอยดูแลอยู่ ๔ องค์ แต่ถ้าอยากรู้ในส่วนน้อยของหลวงปู่ หลวงปู่ก็จะบอกจนหมดสิ้น ท่านจึงได้บอกพระคาถาที่ดีที่สุดที่ท่านมี แต่ท่านจะไม่ทำพิธีครอบครูหรือยกขันธ์ครู เพราะท่านบอกไว้ว่า ทำอะไรก็ศักดิ์สิทธิ์หมด ไม่ต้องทำอะไรมากมายหรอก ขอให้เชื่อมั่นแล้วจะได้อยากที่ใจคิดทุกอย่างทุกประการ
๒. หลวงปู่ขุน (ศิษย์หลวงปู่มั่น) เมื่อครั้งที่กระยังบวชเป็นพระภิกษุอยู่ ท่านหลวงปู่ขุนได้เดินทางไกลมาจากจังหวัดสกลนคร จากวัดที่อยู่บนภูเขาแห่งหนึ่ง มาเพื่อที่จะสอนกัมมัฏฐานให้แก่ข้าพเจ้าโดยตรง ท่านอยากจะช่วยและร่วมสร้างบารมี โดยที่ตัวกระผมเองก็ไม่เคยได้รู้จักกับท่านมาก่อนเลย ท่านบอกว่ามาตามญาณบารมีที่หลวงปู่มั่นชี้ทางให้ไปพบผู้มีบุญแล้วจงส่งเสริมด้วย ในระหว่างการสนทนาธรรมท่านได้ยืนยันการบรรลุธรรม ว่าข้าพเจ้าสามารถปรารถนาเพื่อที่จะหลุดพ้นหรือบรรลุธรรมได้ในชาติภพนี้ พร้อมทั้งยังแสดงฤทธิ์ด้วยการหายตัวให้ดู พร้อมทั้งจะพาไปขุดสมบัติโบราณ แต่ในขณะนั้นข้าพเจ้าไม่ได้มีความสนใจ จึงปล่อยวางความลับไปกับท่าน ซึ่งหลวงปู่ขุนท่านจะเป็นพระที่ชอบสันโดษไม่ค่อยอยากจะยุ่งเกี่ยวกับใคร ใครจะทำหนังสือเกี่ยวกับประวัติพระอริยะ จะทำหนังสือให้ท่าน ท่านก็ไม่เอาทั้งยังขู่ไว้ด้วยว่า ใครกล้าทำก็ให้มันพินาศ จากคำพูดที่ท่านได้เคยกล่าวไว้กับลูกศิษย์ของท่านจึงไม่ค่อยมีใครกล้าทำ ท่านเป็นพระอีกหนึ่งองค์ที่แม้แต่หลวงสมชาย แม้แต่หลวงพ่อถาวร ยังยอมรับทั้งยังมีความนับถือในตัวหลวงปู่ขุนเป็นอย่างมาก โดยกล่าวไว้ว่าถ้าหลวงปู่ขุน มีความปรารถนาอยากจะสร้างวัดขึ้นที่ใหน กี่แห่งก็ตามขอให้บอกหรือแม้แค่รู้ข่าว ก็จะดำเนินการสร้างให้ทันที ดังที่ได้กล่าวมาแล้วจึงพอจะสรุปได้ว่าหลวงปู่ขุน เป็นพระที่ไม่ธรรมดาอีกองค์หนึ่งซึ่งก็สมแล้วล่ะที่ท่านเป็นศิษย์สายอาจารย์มั่น
๓. ธรรมอี๋ ธรรมอี๋เคยเป็นผู้บำเพ็ญพรตนุ่งขาวห่มขาวมาก่อน เป็นคนที่รอบรู้วิชาอาคมรวมทั้งของโบราณ เรื่องรากยารักษาคน แต่เป็นคนที่มีจิตใจเป็นไปในทางโลภมากเป็นส่วนใหญ่ เมื่อคนที่ยังมีฑิฐิมานะติดอยู่ในใจเป็นอันมาก ก็ย่อมที่จะชอบทดลองและยกตนข่มท่าน เมื่อธรรมอี๋เมื่อครั้งได้มาเจอข้าพเจ้าในรูปนักบวช ก็อยากจะทดสอบภูมิธรรม โดยนำสิ่งของที่ตนคิดว่ารู้ แน่แล้วว่าสิ่งนี้คืออะไร ดีไม่ดีแค่ใหน จึงได้นำสิ่งของดังกล่าวมาทดสอบชุดใหญ่ โดยแบ่งออกเป็น ๓ ชุด ในขณะนั้นข้าพเจ้ายังไม่รู้ชัดแน่หรอกว่ากำลังโดนทดสอบภูมิธรรมอยู่ ก็เลยดูและพูดไปตามคำซื่อ ที่พระภิกษุไม่สามารถพูดจาโกหก หรอกลวงได้ เมื่อข้าพเจ้าชี้ได้ถูกว่าวัตถุที่ดีที่สุดคืออะไร ธรรมอี๋ ถึงกับคุกเข่ากราบลงแทบเท้า ขอขมาลาโทษกันยกใหญ่ และได้เล่าถึงเจตนาที่แอบแฝงให้ฟัง พร้อมทั้งขอยืนยันฌานหยั่งรู้ของข้าพเจ้าว่ามีจริง แน่นอน พร้อมทั้งพาไปดูสมบัติโบราณ
๔. หลวงปู่จื้อ(ศิษย์ หลวงปู่มั่น) เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าได้ไปพบและกราบไว้หลวงปู่จื้อ จังหวัดชัยภูมิ ข้าพเจ้าได้นำลูกแก้วติดตัวไปด้วย จึงได้ยื่นให้หลวงปู่ช่วยแผ่บารมีให้ ท่านถึงกับตลึงว่าได้มาจากใหน เอามาได้อย่างไร เพราะผู้ที่จะมีลูกแก้วลูกนี้ได้ต้องเป็นผู้มีบุญบารมีใหญ่เท่านั้น ซึ่งหลวงพ่อคูณก็เคยพูดเหมือนกันว่าของดีแล้วไม่ต้องเสกเพิ่มอีกแล้ว อย่าเอาไปให้ใครดูบ่อยนักเดี๋ยวจะโดนเขาหรอกเอานะ ถ้าจะเล่าถึงเรื่องจำพวกเครื่องรางของขลัง ความศักดิ์สิทธิ์นั้น ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า มีอยู่จริง เนื่องจากได้เคยสัมผัสประสบการ์ลึกลับเกี่ยวกับเรื่องอย่างนี้มาแล้ว มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยนำธาตุกายสิทธิ์ประเภทสะเก็ดดาว ขนาดของก้อนสะเก็ดดาวใหญ่ประมาณเท่าไข่ไก่ มีสีดำเมื่อม ( หลวงปู่เจียมและขุน เคยทำการตรวจเช็คดูให้ ท่านว่าเป็นพวกเหล็กดิบ มีฤทธิ์มีเดชจริง ) ข้าพเจ้าได้นำไปทำการทดสอบบารมี ที่ค่ายทหารสุระนารี จังหวัดโคราช โดยผู้ทดสอบยิง เป็นนักแม่นปืนเพราะเป็นนักกีฬาที่มีฝีมือดีที่สุดของค่ายทหารแห่งนั้น ขณะที่ทำการทดสอบ ข้าพเจ้าได้มองเห็นอากาศที่อยู่บริเวณนั้นรวมตัวกันกลายเป็นเหมือนผืนน้ำขนาดใหญ่ หนาแน่นเต็มไปหมด เมื่อนายทหารยิงปืนนัดแรกซึ่งยืนอยู่ห่างจากของกายสิทธิ์ ประมาณ ๒ ก้าว คงยิงพลาดยากเพราะมันเหมือนกับ จ่อยิงจังๆ แต่ผลปรากฏว่าลูกปืนที่เห็นเป็นลำแสงได้ปลิวหายไปจากบริเวณนั้นโดยไม่ทราบสาเหตุ และไม่รู้เลยว่าลูกปืนพวกนั้นจะไปตกอยู่ที่ใด เป็นอย่างนี้ติดต่อกันประมาณ ๔ นัด หลังจากนั้น ลูกปืนที่ยิงออกจากลำกล้องปากกระบอกปืน จะมองเห็นเป็นลำแสงอย่างชัดเจนและจะเบี่ยงออกไปทางซ้าย ทางขวา ซึ่งมีระยะห่างจากของกายสิทธิ์ ประมาณ ๑ เมตร ลูกปืนถูกยิงจนหมดแม็ก นั่นจึงเป็นสิ่งที่พิสูจน์และเป็นข้อยืนยันได้ว่า เรื่องอิทธิ์ฤทธิ์ เครื่องรางของขลัง นั้นมีอยู่จริง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ส่วนเรื่องของพวกที่ชอบหาเครื่องรางของขลังไปขาย หรือพวกเหล็กไหล หินกินเหล็ก มีพวกแก๊งต้มตุ๋นหากินกับความโลภมากของมนุษย์ เป็นจำนวนมาก ขอให้ผู้ที่กำลังมีความหลงใหล ว่าจะได้เงินจากสิ่งเหล่านี้ จงพึงระวังไว้หน่อย นอกจากท่านจะเป็นผู้ที่มีบุญเก่าสะสมมาทางด้านนี้จริงๆ ถึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จได้ อาจจะเป็น ๑ ในล้านคนล่ะมัง ข้าพเจ้าเคยผ่านมาเยอะแล้ว เห็นมาเยอะแล้ว ส่วนใหญ่ ๙๙ % เหนื่อยเปล่า แถมยังโดนพวกที่หาของขลังด้วยกันหลอกกินฟรี เสียทั้งเงิน ทอง ข้าวของมาก็เยอะ นะ จะบอกให้ จงพึงระวังไว้หน่อย นะครับท่าน
๕. หลวงพ่อลึกลับ ข้าพเจ้าได้เจอกับหลวงพ่อองค์นี้โดยบังเอิญเมื่อครั้งไปนมัสการกราบไหว้หลวงปู่เจียม ท่านได้ยืนยันผู้ที่มีอิทธิ์ฤทธิ์มากที่สุดในภาคอีสานในขณะนี้มีอยู่ ๒ องค์ คือหลวงปู่เจียม และปู่ฤาษีทองทิพย์ แล้วท่านก็ชี้ทางให้ไปหาหลวงปู่ฤาษีทองทิพย์อยู่ทิศอีสานจากจุดยืน ท่านกำลังรอเจ้าอยู่ แต่ในขณะนั้นข้าพเจ้าไม่ได้สนใจก็เลยไม่ได้ไปหา ซึ่งหลวงพ่อองค์นี้ ท่านจะชอบเดินธุดงค์ไปเรื่อยๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งท่าน ไปเดินธุดงค์ทางภาคใต้ พอเดินเข้าเขตชุมชนต่างลัทธิ ศาสนา ก็โดนลอยโดยปืน เอ็ม ๑๖ ทั้งพวง แต่ท่านรอดมาได้ด้วยบทสวดมนต์ อิติปิโส ถอยหลัง ลูกปืนจะตกย้อยลงสู่พื้นดินก่อนจะถึงตัวท่าน ประมาณ ๑ คืบมือ
เพราะฉะนั้นของดีก็อยู่ใกล้ตัวเรานี่เอง แต่เราไม่เคยรู้จักนำมาใช้ให้ถูกวิธีเฉย จึงสียของเปล่า
๖. แม่ขาว ยืนยันบารมี ว่าชาติภพหนึ่งเคยเกิดเป็นสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทุกวันนี้ก็ยันมีผู้
รักษาติดตามมาอย่างไม่ได้ขาด ท่านคนนี้ก็เป็นผู้ที่บำเพ็ญเพียรอย่างอุกฤษฏ์อีกหนึ่งท่าน แต่ข้าพเจ้ากลับกลายเป็นคู่กรรม คู่เวรเก่าของท่าน จึงได้ทดสอบและทำการทดลองบารมีกับอย่างมากมาย แต่สุดท้ายแล้ว ทุกอย่างก็ย่อมมีจุดจบ การอโหสิกรรมจึงเกิดขึ้นเมื่อถึงเวลา
๗. หลวงพ่อติ่ง ศิษย์สายธรรมหลวงปู่เทพโลกอุดร เมื่อเจอกันครั้งแรก วันแรกที่ท่านมาอยู่ที่วัดแห่งนั้น ท่านได้อธิษฐานไว้ว่า ขอให้ได้พบผู้ที่มีฤทธิ์มากที่สุดใน ๓ โลกธาตุ ในตอนนี้ เมื่อท่านได้พบกับข้าพเจ้าซึ่งข้าพเจ้าไปด้วยจิตระลึกได้ ถ้าเป็นคนธรรมดาคงจะไม่มีใครไปเพราะว่าวัดแห่งนี้ได้ล้างมาตั้งนานแล้ว ท่านได้บอกกับข้าพเจ้าว่ารอพบผู้มีฤทธิ์ วันนี้ได้เจอแล้ว พร้อมทั้งสอนการปฏิบัติธรรม สายหลวงปู่เทพโลกอุดรให้ ทั้งยืนยันว่าถ้ายังไม่บรรลุธรรมจะได้จุติในยุคของพระศรีอาริย์อย่างแน่นอน ท่านยังได้เล่าเหตุการณ์วันสิ้นโลกให้ฟังจากนิมิต ประวัติของหลวงพ่อติ่ง ที่ข้าพเจ้าได้ฟังจากท่านมาพอประมาณ คือ ท่านจะเป็นพระที่ชอบธุดงค์ และธุดงค์ไปเรื่อยๆ ตามป่าตามเขา และท่านยังชอบการเข้าฌานสมาบัติ คือ อธิฐานจิตจะเข้าฌานสมาบัติกี่วัน โดยวิธีการปฏิบัตินั้นก็คือ เมื่อเข้าสมาธิแล้ว ท่านจะไม่ลุกเดินไปใหน ไม่ฉันอะไร จนกว่าจะถึงกำหนดเวลาที่ได้ตั้งสัจจะอธิฐานบารมีไว้ก่อนปฏิบัติ ธรรม มีอยู่วันหนึ่งท่านเดินธุดงค์ไปแล้วเดินหลงป่าหาทางออกไม่เจอ หลายวันเข้าความอดอยากหิวโหยที่เกิดขึ้นจากร่างกายไม่ได้รับประทานอาหาร ไม่มีอาหารให้ฉัน เพื่อที่จะให้ร่างกายคงอยู่ได้ ท่านบอกว่า ณ วินาทีสุดท้ายที่ท่านกำลังจะสิ้นลมลงนั้น ท่านก็ได้ยินเสียงหลวงปู่เทพโลกอุดร มาบอกพระคาถากับท่าน เพื่อให้ท่านท่องแล้วจะสามารถนำพาชีวิตรอดพ้นจาก วิกฤษฎ์ได้ ในตอนแรกท่านก็ไม่เชื่อ เพราะกลัวจะเป็นผีหรือพวกปีศาจมาหรอกลวง ซึ่งจะเข้าทำนองคำพังเพยที่คนโบราณมักชอบพูดในเวลาคับขันว่า เคราะห์ซ้ำกรรมซ้อน แต่ในขณะนั้นท่านไม่มีทางเลือกจึงได้รองท่องดูปรากฏว่า ความหิวกระหายได้ทุเลาลง ท่านจึงได้ยินเสียงจากหลวงปู่เทพโลกอุดรบอกต่อไปอีกว่าให้ลุกขึ้นมานั่งภาวนา ในขณะนั้นท่านลงขึ้นมาแล้วจะล้มทรุดลงไปเนื่องจากอาการเหนื่อยล้า จึงได้ยินเสียงเรียนจากเทวดาว่า อย่าพึ่งตายๆ แล้วทันใดนั้นเทวดาทั้งสองก็ได้มาพยุงตัวท่านให้นั่งได้ ท่านจึงภาวนาต่อไป จนรู้สึกว่าเริ่มมีเรี่ยวแรงกลับคืนมา จึงเดินไปตามทางที่หลวงปู่เทพโลกอุดรบอก จึงสามารถเดินออกจากป่าได้ ซึ่งเขตป่าที่ท่านเดินหลงทางนั้นอยู่ที่ ภูเขาถ้อวัวแดงนั่นเอง ชัยภูมิ
๙. แม่ชี(ถ้ำวัวแดง) ท่านเดินทางมาจากพระธาตุพนม มาจำศีลที่ถ้ำวัวแดงตามนิมิตของหลวงเทพโลกอุดร มาวันแรก ก็ได้เจอกับกระผมทันที ท่านก็เป็นผู้ปฏิบัติและมีภูมิธรรมสามารถรู้เห็นถึงสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถอธิบายได้ ท่านนำแร่ทรายทองมอบให้แก่ข้าพเจ้า พร้อมทั้งยืนยันบารมี ว่าข้าพเจ้ามีเทพเทวาตามรักษามากมายเหลือเกิน ตั้งแต่ท่านปฏิบัติธรรมมายังไม่เคยเจอใครที่มีเทวดาตามรักษามากมายขนาดนี้มาก่อน พร้อมทั้งชี้แนะเกี่ยวกับเรื่องคาถาญาณบารมี
๑๐. ฤาษีถ้ำแสงดาว(เขตถ้ำวัวแดง) เมื่อเจอท่านก็ได้สนทนากันตามวาระธรรม เมื่อสมควรแก่กาล ท่านจึงบอกว่าข้าเคยเป็นนักรบมาก่อน ท่านก็เหมือนกัน ท่านเป็นผู้มีบารมีมากจงปฏิบัติบำเพ็ญเพียรต่อไป ท่านเดินมาถูกทางแล้ว
๑๑. พราหมณ์บอย(ถ้ำอิติปิโส) เจอกันสามครั้งถึงได้มีโอกาสได้คุยกัน พราหมณ์บอยยืนยันว่าแบ่งภาคมาจากหลวงปู่ใหญ่ ท่านสูงมากแต่บอกไม่ได้ เพราะท่านสั่งห้ามไม่ให้บอก มีเทพเทวารักษามากมาย ขอให้ปฏิบัติต่อไป จะดีทุกอย่างขออนุโมทนาบุญด้วย พราหม์บอยท่านจะเป็นผู้ที่ชอบปฏิบัติธรรมตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ เช่น ถ้ำวัวแดง ถ้ำอิติปิโส เป็นต้น ท่านมีลูกศิษย์ลูกหาอย่างมากมาย ซึ่งอาศรมหรือสำนักของท่านจะอยู่แถวจังหวัดสระบุรี แถวปากช่อง อยู่ติดกับข้างถนน ซึ่งจะมีรูปปั้นฤาษีอยู่มากมาย สำหรับใครที่โดนพวกคุณไสยมนต์ดำ ถ้าหาคนเก่งวิชามาแก้ให้ไม่ได้ ให้เอาน้ำล้างมือ ล้างเท้าของบิดามารดามากินและอาบ จะช่วยทำให้ดีขึ้น ซึ่งเป็นวิธีง่ายๆที่พราหม์บอยเคยบอกเอาไว้
๑๒. หลวงพ่อสฤษ สายธรรมหลวงปู่โต ยืนยันว่าเคยเป็นนักรบโบราณทั้งยังมีปู่ฤาษีและปู่พระยานาคคอยดูแลและปกปักรักษาอยู่ พร้อมทั้งชี้แนะแนวทางปฏิบัติ หลวงพ่อท่านจะชอบช่วยเหลือสงเคราะห์คนที่ป่วยเป็นโรคอัมพฤก อัมพาส ซึ่งท่านจะใช้วิธีการถ่ายพลังปราณคล้ายหนังจีนเลยล่ะ ประกอบกับยาโบราณ เพื่อช่วยเหลือ ปรากฏผลการรักษาหายไปเยอะแล้ว ละท่านเคยรับบารมีธรรมจากหลวงปู่โต ที่เมืองสวรรค์ชั้นฟ้ามาด้วย
๑๓. หลวงพ่อเอก ศิษย์หลวงปู่หงส์และหลวงปู่ดำ ยืนยันว่ามีปู่ฤาษีนารอทและปู่พระยานาคสัตตรุทร คอยดูแลและปกปักรักษาอยู่ เมื่อเจอท่านจึงได้กำหนดจิตว่าเคยมีความเกี่ยวพันกันมาอย่างไร จึงได้รู้ว่า ครั้งหนึ่งตัวข้าพเจ้าเคยจุติอยู่ชั้นพรหมสุทัสสี ชึ่งมีหน้าที่สวดกระทำพิธีต่างๆส่วนหลวงพ่อนั้นอยู่ชั้นสุทัสสา มีหน้าที่จัดเตรียมพิธีเครื่องบายศรีต่างๆ ซึ่งหลวงพ่อท่านจะเด่นไปในทางถอดคุณ ถอดของ โดยใช้ไข่ไก่กลิ้งไป กลิ้งมา และท่านยังเป็นลูกศิษย์หลวงปู่หงษ์ด้วย
๑๔. หลวงพ่อรวย วัดเจริญทรัพย์ ยืนยันมีฌานหูทิพย์ ตาทิพย์ สามารถบรรลุธรรมได้ในชาติภพนี้ และสามารถมีฤทธิ์ได้ถึงขั้นสูงสุด ท่านเป็นพระที่มีหูทิพย์ ตาทิพย์และสามารถขยายธรรมมะให้ฟังได้อย่างดีเยี่ยม ท่านจะชอบสอนหลักการ ที่จะนำพาไปสู่ความพ้นทุกข์
๑๕. เจ้าอาวาสวัดป่านาแก ยืนยันเป็นผู้มีบารมีมาก มีฌานหยั่งรู้จริง
๑๖. หลวงพ่อบุญฤทธิ์ จังหวัดชัยภูมิ ยืนยันเป็นผู้มีบารมีมาก ไม่ใช่คนธรรมดา เกิดเหตุอัศจรรย์ทุกครั้งที่อธิษฐานฤทธิ์ทดสอบบารมีธรรม เช่น อธิษฐานถ้าบุคคลนี้เป็นผู้มีบุญญาบารมีมาก สามารถสร้างวัดสร้างวาได้ ตามใจปรารถนา ก็ขอให้ฝนจงตกลงมาเดี๋ยวนี้เทอญ ขณะที่ท้องฟ้าแจ่มใสไม่มีเมฆลอยอยู่เลย ทันใดนั้นเมฆและฝนก็ได้ตกลงมาโดยฉับพลัน ทั้งที่ไม่ใช่ฤดูฝน แล้วเมื่อข้าพเจ้าลากลับและรับทราบการอธิฐานบารมี ฝนก็หยุดตกแล้วท้องฟ้าก็กลับใสสว่างปราศจากเมฆฝนดังเดิม และอีกเหตุการณ์หนึ่งเมื่อข้าพเจ้าได้ไปทำทานหลวงพ่อจึงได้อธิฐานบารมีกับข้าพเจ้าอีกครั้ง พอหลวงพ่อสวดสัพพีฐิโย สวดตุ๊กแกทั้งน้อยใหญ่ทั่วป่า ร้องลั่นรับบุญมหากุศลพร้อมกันอย่างสนั่นหวั่นไหวทั่วป่า จนกระทั่งหลวงพ่อให้พรเสร็จ จึงหยุดร้องพร้อมๆกัน และอีกครั้งหนึ่งเมื่อข้าพเจ้าไปกราบเสาหินโบราณประจำวัด หลวงพ่อจึงอธิษฐานบารมีของข้าพเจ้า จากป่าที่เงียบเชียบก็เกิดคลื่นลมพัดพามาอย่างแรง จนเมื่อข้าพเจ้าเดินไปถึงเสาหิน ลมจึงได้สงบลง
๑๗. หลวงพ่อเขียว บ้านหนองไห ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปทำบุญกับท่าน ๓ ครั้ง ปรากฏว่าทุกครั้งที่เดินเข้าไปในกุฏิของท่าน ตุ๊กแกจะร้องทักขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหว ท่านจึงกล่าวว่าเทวดามาทั้ง ๓ ครั้ง
๑๘. หลวงปู่สูง สายธรรมหลวงปู่เทพโลกอุดร จังหวัดชัยภูมิ ยืนยันเป็นผู้ที่มีฤทธิ์ เป็นของจริง เกิดลมหมุนขึ้นมา ๓ ลูก วิ่งรอบรูปปั้นหลวงปู่เทพโลกอุดร แล้ววิ่งมายังตรงหน้าตัวข้าพเจ้าแล้วก็หายไป
๑๙. หลวงปู่มี ศิษย์สาย อ.มั่น จังหวัดอุบล ท่านกล่าวไว้ว่ามีตาดีอยู่แล้วทำไมไม่ใช้ให้เกิดประโยชน์ พร้อมทั้งถ่ายพลังปราณไว้ให้
๒๐. ตำหนักร่างทรงจังหวัดอุตรดิตถ์ ยืนยันว่ามีพระมหากัสสปอยู่ด้วย พร้อมทั้งขอรับการช่วยเหลือจากข้าพเจ้าทั้งตำหนัก
๒๑.ตำหนักร่างทรงพระศิวะ พัทยา ยอมรับคำสั่งสอนไปปฏิบัติแล้วเห็นผลจริง จึงยืนยันว่าดีจริง
๗.บวชสามเดือนได้อะไร
๑. หลังบวชหนึ่งอาทิตย์โดนกิเลสเล่นงาน ข้าพเจ้าเคยบวชพระครั้งแรก ที่วัดป่าบ้านแก โดยหลวงปู่ผงเป็นอุปัชฌา เมื่อเริ่มบวชวันแรกข้าพเจ้าก็เข้าไปปฏิบัติภาวนาและจำวัดอยู่กลางป่าช้าทันที เมื่อเริ่มบวชไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืนเมื่อใดว่างจากการปฏิบัติจิตใจก็จะเกิดอาการรุ่มร้อน คิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่ไม่หยุด เล่นเอาข้าพเจ้าเอาตัวเองแทบไม่รอด แต่ก็ผ่านมันมาได้
๒. เจอผีขอส่วนบุญ หลังจากข้าพเจ้าบวชได้อาทิตย์ที่สอง บริเวณที่อยู่ใกล้ๆที่จำวัดของข้าพเจ้าจะสังเกตเห็นมีเนินดินเล็กๆปรากฏอยู่ ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ได้คิดว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นจนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้าจะเข้ากลดเพื่อจำวัด ก็ปรากฏเสียงประหลาดเกิดขึ้นอยู่เบื้องหลังของข้าพเจ้า เสียงนั้นดังเหมือนคนที่ร้องด้วยความเจ็บปวดโหยหวนมากๆ ฮอยๆๆ ฮอยๆๆ ข้าพเจ้าจึงทำการกำหนดจิตแผ่เมตตาธรรมให้ หลังจากนั้นเสียงก็หายไปและไม่มีปรากฏได้ยินอีกเลย
๓. ได้ยินเสียงหยดน้ำหล่นรอบๆนึกว่าโดนผีหรอก เมื่อระยะเวลาได้ผ่านไปเกือบจะเข้าอาทิตย์ที่สาม เช้าวันหนึ่งข้าพเจ้าได้ตื่นขึ้นจากการจำวัดอยู่ในกลด จึงได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินอยู่รอบๆที่พัก ตอนแรกก็รู้สึกกลัวอยู่เหมือนกัน แต่ถ้ามัวแต่กลัวก็คงไม่รู้ความจริงว่าสิ่งที่ข้าพเจ้านั้นคิดอยู่จะเป็นของจริงใช่หรือไม่ เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าเป็นไงเป็นกัน ออกมาสอดส่องดูพบว่าไม่มีอะไรเลยนอกจากเสียงของหยดน้ำค้างที่ก่อตัวรวมกันเป็นหยดน้ำแล้วหล่นลงมาจากที่สูง มากระทบกับใบไม้จึงทำให้เกิดเสียงดังขึ้นรอบกลดของข้าพเจ้า
๔. โดนผีแกล้งกลางวันแสกๆ อยู่ในป่าช้าบริเวณหลังเมรุ เผาศพ มีทั้งหลุมฝังศพอย่างมากมายก็คงจะไม่แปลกหรอกที่จะมี เรื่องแปลกๆเกิดขึ้นอยู่หลายครั้ง เหมือนครั้งนี้ เมื่อข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะปฏิบัติภาวนาอยู่ใต้ร่มไม้ ในเวลากลางวันก็ไม่วายโดนผีแกล้งอีก เมื่อข้าพเจ้านั่งหลับตาได้สักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงของการขูดขีดใบไม้อยู่รอบตัว ข้าพเจ้าก็ไม่ใส่ใจจนภาวนาเสร็จจึงลืมตาขึ้นมองดูปรากฏว่ามีรอยขีดพื้นดินเป็นรอยรอบตัวข้าพเจ้าจริงๆ ข้าพเจ้ามีความเข้าใจว่าบริเวณที่ข้าพเจ้านั่งบำเพ็ญเพียรนั้น ชะลอยคงจะเป็นหลุมฝังศพเขากระมัง เพราะบริเวณแถวนั้นจะมีลักษณะเป็นเนินดินปรากฏอยู่ ข้าพเจ้าจึงแผ่บุญกุศลให้แล้วก็ไม่ไปรบกวนที่ของเค้าอีก
๕. บารมีเริ่มเกิดจึงได้ปรากฏเหตุอัศจรรย์ เมื่อข้าพเจ้าได้กระทำความเพียรมาได้ระยะหนึ่ง ได้ปรากฏมีรังผึ้งขนาดใหญ่มาทำรังอยู่หน้าที่พักของข้าพเจ้าซึ่งชาวบ้านก็พูดกันไปต่างๆนาๆว่าเกิดเหตุอัศจรรย์ เป็นมงคล
๖. ตัดสินใจว่าจะเดินธุดงค์ เมื่อผู้ปฏิบัติธรรมได้กระทำการอย่างอุกฤษณ์ ก็จะเข้ากรณีคนร้อนวิชา อยากไปผจญกับโลกภายนอกว่าจะมีอะไรมากกว่าที่เรารู้เห็นอยู่อีกหรือไม่ จึงออกธุดงค์แต่ชะลอย บุญบารมีคงยังไม่ถึงจึงมีสิ่งปิดบังทำให้ข้าพเจ้าเกิดลืมผ้าสังฆาฏิ เมื่อนึกได้จึงต้องเดินกลับมา ระหว่างทางมีลูกวัวตัวหนึ่ง จะพยายามขวางทางไว้ไม้ให้ข้าพเจ้าเดินกลับวัด มันคงอยากให้ข้าพเจ้าแสวงหาธรรมต่อไป แต่โอกาสของข้าพเจ้ายังไม่ถึงจึงตัดสินใจกลับ ข้าพเจ้าก็แผ่เมตตาให้วัวตัวนั้นตามวาระธรรมที่ข้าพเจ้าพึงกระทำได้ในขณะนั้น เมื่อกลับมาถึงวัดก็ค่ำพอดีก็เข้าป่าช้าไปเรื่อยๆเพื่อที่จะกลับไปที่พัก เมื่อข้าพเจ้าเดินผ่านเมรุเผาศพได้ยินเสียงแว่วๆว่า อาจารย์มา ข้าพเจ้าคิดว่าพวกเขาคงจะกำลังประชุมกันเรื่องที่ข้าพเจ้าจะออกธุดงค์เป็นแน่แท้ เมื่อมองเห็นข้าพเจ้าอย่างไม่ได้ตั้งตัวจึงเอ่ยคำอุทานเช่นนั้นออกมา ข้าพเจ้าจึงแผ่เมตตาบารมีให้ตามสมควรแก่กาล ปกติแล้วแทบจะทุกคืนข้าพเจ้าจะเทศสอนธรรมให้แก่ ผู้ที่อาศัยอยู่บริเวณป่าช้าได้ฟังเสมอ เพื่อให้พวกเขาได้มีภูมิธรรมกันบ้างตามวาระจิตที่พวกเขาพึงจะรับรู้ได้
๗. โดนผีชนวิญญาณเกือบหลุดออกจากร่าง ที่วัดป่าบ้านแกจะมีศาลาร้างอยู่หลังหนึ่งปรากฏอยู่เป็นศาลาขนาดใหญ่สองชั้น ในเวลานั้นใกล้พลบค่ำข้าพเจ้าเหมือนมีสิ่งดลใจให้อยากเข้าไปศาลาหลังนั้นมากๆ โดยข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเข้าไปทำไม แต่เมื่อถูกเชื้อเชิญแล้วข้าพเจ้าซึ่งเป็นพระภิกษุจะมัวกลัวตายก็ไม่รู้จะบวชมาทำไม จึงได้ตัดสินใจเข้าไปเพราะมั่นใจในบารมีคุณศีล คุณธรรมจะรักษาเราไว้ได้ เมื่อเข้าไปชั้นแรกตัวข้าพเจ้ารับรู้ด้วยจิตทันที มีผีสูงแปดศอกยืนอยู่จำนวนหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้าเดินขึ้นชั้นสองก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงพลังของวิญญาณอย่างมากมายเต็มไปหมด ข้าพเจ้าคิดอย่างเดียวว่าพวกเขาคงอยากจะได้ส่วนบุญจากข้าพเจ้าล่ะกระมัง แต่มันกลับตรงกันข้ามเมื่อข้าพเจ้าก้าวย่างเท้าทั้งสองขึ้นไปบนชั้นสองของศาลาเสร็จ บริเวณหลังคาจะมีช่องที่จะทะลุพอให้ลำแสงที่เลือนรางผ่านเข้ามาอยู่หลายเส้น ข้าพเจ้ามองเห็นภูติวิญญาณวิ่งกรูเข้าตรงมาหาตัวข้าพเจ้าอย่างมากมายนับไม่ถ้วน เมื่อข้าพเจ้าโดนจู่โจมอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวอย่างนั้น ตัวข้าพเจ้ารู้สึกถึงการสั่นกระเพื่อมเปรียบเสมือนกับว่าตัวข้าพเจ้าเป็นก้อนน้ำขนาดเท่าตัวคนที่กำลังสั่นกระเพื่อมอย่างแรงเหมือนกับวิญญาณกำลังจะหลุดออกจากร่าง ในตอนนั้น ข้าพเจ้าพยายามตั้งสติให้เร็วที่สุดโดยกำหนดคำว่า ตื่นๆๆๆ ไปเรื่อยๆ จึงจิตเริ่มนิ่งข้าพเจ้าก็รีบพาตัวเองลงมาทันที เมื่อลงมาจากศาลาจะเดินกลับที่พักบังเอิญต้องเดินผ่านคอกหมูตัวเมียมีหมูขนาดใหญ่อยู่ ๑ ตัว ซึ่งหมูตัวนั้นเมื่อเห็นข้าพเจ้ามันส่งเสียงร้องดังสนั่นหวั่นใหว เหมือนกับว่ามันกำลังเจออะไรที่น่ากลัวมากๆเดินข้าพเจ้าอยู่ จนทำให้หลวงพ่อที่ดูแลมันอยู่รีบวิ่งมาดูด้วยความตกใจ เมื่อข้าพเจ้าแผ่เมตตาจิตให้แล้วเดินห่างจากไป เสียงของหมูตัวนั้นก็ค่อยๆเบาลง เมื่อข้าพเจ้ากลับไปตั้งหลัง สวดคาถาป้องกันตัว จนมั่นใจแล้วว่าจิตใจมีความนิ่งสงบมากกว่าเดิม จึงย้อมกลับไปอีกสองครั้ง แล้วทำการแผ่เมตตาให้ผู้ที่พอจะไปสู่ภพภูมิที่ดีได้ ก็จะได้มีโอกาสได้ไป จะเหลืออยู่ก็แค่หัวหน้ากับสมุนหลักที่ชอบทำตัวเป็นอันธพาลอยู่ที่แห่งนั้นต่อไป ก็แค่นั้นเองล่ะ
๘. งูผีคิดทำร้ายรอดได้ด้วยการกำหนดจิต มีอยู่วันหนึ่งหลวงพี่ที่ข้าพเจ้ารู้จักและคุ้นเคยดีท่านป่วยเนื่องจากไปนำเอาวัตถุโบราณมาเก็บรักษาไว้ในครอบครอง ซึ่งที่จริงแล้ววัตถุก้อนนั้นถ้าหลวงพี่ไม่ไปเอามาก่อนข้าพเจ้าคงได้รับมันมา แล้วก็ไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าจะโดนเหมือนอย่างท่านหรือเปล่า เมื่อท่านป่วยข้าพเจ้าจึงตัดสินใจนำกลดไปปักอยู่กลางเส้นทางเดินเล็ก ใกล้กับที่พักของท่าน ซึ่งจะอยู่บริเวณริมป่าช้า จากคำโบราณที่เคยกล่าวไว้ว่าอย่านอนขวางทางเดินหรือบริเวณที่รู้ว่าเคยเป็นทางเดินมาก่อน เพราะว่ามันอาจจะเป็นทางผีผ่านก็ได้ พอตกเย็นข้าพเจ้าก็ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิตามเดิม เมื่อนั่งสมาธิเสร็จข้าพเจ้ากำลังจะจำวัดโดยข้าพเจ้าจะเอาหมอนขลิดรองพื้น ๑ ลูก แล้วก็วางซ้อนให้สูงขึ้นอีกด้วยผ้าสังฆาฏิโดยทำการพับซ้อนกันสามชั้น ท่านคิดเอาเองว่าจะสูงประมาณใหน เมื่อข้าพเจ้าโน้มหัวลงหมอนได้ไม่นาน ปรากฏว่ามีงูขนาดใหญ่กำลังเลื้อยผ่านหัวของข้าพเจ้าซึ่งขนาดของกลางลำตัวงูจะอยู่ตรงกระหม่อมของข้าพเจ้าพอดีท่านคิดดูเอาเองก็แล้วกันว่างูตัวนี้จะมีขนาดใหญ่เพียงใด แต่มีข้อสังเกตคือ สองฝั่งทางเดินล้วนแล้วแต่เป็นใบไม้แห้งแต่เมื่อมีงูขนาดใหญ่เพียงนี้เลื้อยผ่านทำไมถึงไม่มีเสียงดังเลยล่ะ จึงทำให้เกิดข้อคิดว่าคงจะไม่ใช่งูธรรมดาซะแล้วล่ะ เมื่อรู้ดังนั้นจึงกำหนดจิตว่าถ้าการตายครั้งนี้ จะทำให้ตัวข้าพเจ้าหมดเวร หมดกรรม จะพ้นทุกข์ก็ยอมตายว่ะ เอ้าตายก็ตาย หลังจากที่งูเลื้อยเสร็จก็เอาปากมาเป่าฟู่ๆที่บริเวณกลางกระหม่อมของข้าพเจ้า ถ้าหนีคงไม่ทันแล้วล่ะ จังหวะที่งูจะฉกก็ปรากฏมีตัวเงินตัวทอง วิ่งออกมาจากป่าทางฝั่งทางด้านซ้ายของข้าพเจ้าในขณะนั้นมาขบกัดกันกับงู เสียงดังสนั่นอยู่บนหัวข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าจับไฟฉายได้จึงรีบลุกขึ้นมาส่องดูแต่ปรากฏว่าไม่พบอะไรอีกเลย แต่ในคืนนั้นข้าพเจ้าจะไม่สามารถหลับนอนได้เลยเนื่องจากเมื่อใดที่ข้าพเจ้าจะเผลอตัวหลับไป เจ้าตัวเงินตัวทองก็จะคอยมาขย้ำกลดรอบข้างตัวข้าพเจ้าเพื่อให้มีสติอยู่เสมอจนถึงเวลารุ่งเช้าเหตุการณ์จึงได้สงบ ต้องขอแผ่เมตตาจิตรวมไปทั้งบุญบารมีทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้เคยสั่งสมมาแผ่ไปยังเจ้าตัวเงินตัวทอง รวมทั้งเหล่าเทวดาภูตผี ปีศาจ ที่มีส่วนช่วยเหลือชีวิตของข้าพเจ้าในครั้งนั้นด้วยเทอญ สาธุ
๙.นางเมขรากับรามสูรไล่กัน ในหลายๆเรื่องในโลกใบนี้ บางคนอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไร้สาระ บางคนอาจจะเชื่อแต่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ ไม่ว่าใครจะคิดเช่นไรก็ตามแต่สำหรับตัวข้าพเจ้าเองแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อว่า สิ่งนี้มีอยู่จริง ดังเช่นเรื่องนางเมขลาล่อแก้วกับท้าวรามสูร วันหนึ่งข้าพเจ้าเห็นต้นยางต้นหนึ่งมีความสูงใหญ่เป็นอย่างมากสูงเสียดฟ้า จึงได้ทำการปักกลดไว้ใต้ร่มไม้ต้นนั้น พอตกเย็นเมื่อเข้าสมาธิภาวนาเสร็จแล้วก็เข้าจำวัดแต่ยังไม่หลับ สายตาของข้าพเจ้ามองดูท้องฟ้าอยู่ตลอดเวลาไม่ห่าง ทันใดนั้นจากท้องฟ้าที่ใสสว่างก็มีเมฆ ลม และเสียงฟ้าร้องโหมกระหน่ำเข้ามาแทนที่โดยฉับพลัน ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็ได้มองเห็นนางเมขลาลองผ่านมาพร้อมทั้งมีท้าวรามสูร ถือขวานไล่ฟาดฟันเสียงสายฟ้าดังสนั่นหวั่นใหวไปหมด บางครั้งก็รู้สึกกลัวว่าฟ้าจะผ่าลงมายังต้นยางใหญ่ เพราะว่ามีความสูงใหญ่มากที่สุดในบริเวณนั้น แต่ก็พิจารณาปลงสังขารเหมือนเดิมที่เคยทำมา คือ ตายก็ตาย แล้วก็หลับตานอนโดยไม่ใส่ใจอีก ตื่นเช้าขึ้นมาจึงรู้ตัวว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ ชาวบ้านบางคนก็มาถามไถ่ว่าสงสัยเมื่อคืนมีคนมาลองของกับครูบาเป็นแน่แท้ เพราะฟ้าที่ผ่าเปรี๊ยงๆชาวบ้านเรียกว่าฟ้าผ่าแล้ง เกิดขึ้นในฤดูแล้ง เป็นสิ่งที่เกิดได้ยาก
๑๐. โดนลองวิชา หลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มเข้าสู่ฤดูฝน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องหาที่จำวัดใหม่นั่นก็คือ ที่โบสถ์นั่นเอง มีอยู่วันหนึ่งโดนลองของโดยผู้มีวิชาท่านหนึ่ง โดยข้าพเจ้าก็ทำความเพียร ด้วยการเดินจงกลมอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง ท่านผู้นั้นก็เดินเข้ามาแล้วยิงคำถามออกมาเลยว่า มีผีอยู่บนต้นยางใหญ่หน้าโบสถ์ ทันใดนั้นเสียงเหมือนคนลูดตัวลงมาจากต้นยางใหญ่พร้อมกับเสียงปลวกที่เกาะอยู่ต้นยางใหญ่ก็ตกลงมาพร้อมกัน ดังสนั่นหวั่นไหวท่ามกลางความเงียบ แล้วก็ยิงคำถามมาอีกว่ามีผีอยู่บนหลังคาบ้านร้างซึ่งอยู่ใกล้กับต้นยางใหญ่เยื้องไปด้านซ้ายของข้าพเจ้า ทันใดนั้นก็มีเสียงเหมือนมีคนกำลังขย่มหลังคาซึ่งทำด้วยสังกะสีดังสนั่นหวั่นไหวไปหมด ข้าพเจ้ารู้แน่ชัดแล้วว่าคงมาลองวิชาเป็นแน่แท้ จึงตอบไปตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ แล้วก็โดนยิงคำถามมาอีกว่ามีผีอยู่ในห้องน้ำเก่า (อยู่ข้างโบสถ์) ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงน้ำใหลพร้อมกันทุกห้อง ซึ่งไม่น่าจะมีใครจะไปเปิดก๊อกน้ำไว้อย่างแน่นอนเพราะห้องน้ำแถบนั้นอยู่ในป่าใกล้หลุมฝังศพ ขณะนั้นมีแค่ข้าพเจ้าไปใช้เพียงผู้เดียว เมื่อเจอดังนั้นจึงโดนยิงคำถามมาอีกว่าผีกำลังจะเข้ามาหา ทันใดนั้นก็ได้เกิดคลื่นลมอย่างแรงมากๆเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ข้าพเจ้าจึงแกล้งพูดไปว่าเคยได้ยินคาถามาบทหนึ่ง จะท่องให้ฟัง แต่ท่านไม่อยากฟัง กระผมจึงพูดออกไปโดยไม่สนใจอีก เมื่อจบคาถาทุกอย่างก็สงบลงทันที คาถาบทนี้เคยใช้ได้ผลมาหลายครั้งเช่นเดียวกัน ดังเช่นเมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าไปเรียนพิเศษอยู่โรงเรียนซึ่งเคยเป็นป่าช้าเก่า ในเวลาค่ำ ขณะนั้นอยู่กับเพื่อนแค่สองคน เมื่อพวกข้าพเจ้ากำลังคุยเล่นกันอยู่ก็ได้ยินเสียงคนเดินมายังหน้าห้อง พวกข้าพเจ้าจึงเดินไปเปิดดูไม่พบใครเลยสักคน แล้วก็มีลมกรรโชกมาใส่ห้องอย่างแรง จนหน้าต่างทุกบานมีอาการปิดเปิด อย่างกะทันหัน โดยไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้ เมื่อพอรู้แล้วว่าโดนแน่ๆ จึงบอกเพื่อนให้ท่องคาถาบทนี้ตาม เมื่อท่องจบปรากฏว่าเหตุการณ์ปกติทันที บรรยายนอกเรื่อยไปนานหวนกลับเข้ามาจบเรื่อย เมื่อท่านผู้มาลองเห็นเหตุการณ์สงบได้ทันตาเห็น ก็รีบหลับไปทันที
๑๑. ผีเคาะหน้าต่างรอบโบสถ์ติดต่อกัน อยู่มาคืนหนึ่งพอข้าพเจ้าเดินเข้าไปในโบสถ์หลังจากการทำความเพียร ภาวนาเดินจงกลมเสร็จ ก็ได้ยินเสียงลมดังกรรโชกมาอย่างแรง แล้วหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงเคาะบานหน้าต่างดังติดต่อกันรอบโบสถ์ ๓ รอบ ท่านคิดเองก็แล้วกันใครจะทำได้ ถ้าเป็นคนก็คงต้องใช้คนหลายคน เพื่อมายืนประจำทุกจุดของบานประตูและหน้าต่าง ในคืนนั้นข้าพเจ้าเองก็คิดว่าตัวเองคงจะไม่รอดเป็นแน่แท้ จึงปลงสังขาร แล้วก็นอนจำวัดเลยทันที เมื่อข้าพเจ้าตื่นนอนมาในช่วงดึก เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่ามีคนตัวดำๆร่างใหญ่ สังเกตดูคล้ายยมทูต มีด้วยกันทั้งหมดประมาณ ๗ ตน โดยมีคนถือสมุดบัญชีหนึ่งคน นอกนั้นจะถือหอกทั้งหมด ข้าพเจ้าคิดว่าคงจะหมดอายุขัยคราวนี้แน่นอน จึงหลับตาปลงสังขาร ตายก็ตาย ไม่ได้ใส่ใจ พอตื่นเช้าขึ้นมาจึงได้รู้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่
๑๒. เจอลูกแก้ว หลังจากที่ข้าพเจ้าได้กลับมาหลังจากเสร็จพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลพระสังกัจจาย เมื่อเดินเข้าใกล้ที่พักก็ปรากฏเห็นลูกแก้วใสสว่างลอยอยู่สองดวงเมื่อข้าพเจ้าเดินเข้าไปใกล้ลูกแก้วก็ยิ่งลอย เข้าใกล้ที่พักของข้าพเจ้าแล้วก็หายไป เมื่อพิจารณาดีๆแล้วก็คงจะเป็นลูกแก้วสองลูกที่อยู่กับข้าพเจ้านั่นเองล่ะ
๑๓. คาถาผีบอก มีวันหนึ่งข้าพเจ้าเดินไปสำรวจดูแถวรอบๆที่พักก็ปรากฏพบเจอตัวอักษรขอมโบราณถูกเขียนไว้บนแผ่นทราย รอยขีดเขียนยังใหม่ๆอยู่เลย แต่ในขณะนั้นไม่ได้ให้ความสนใจจึงไม่ได้จดจำเอาไว้ จึงเหลือแค่คำบอกเล่าเพียงเท่านั้นเอง
๑๔. หินมีชีวิต มีหินอยู่ก้อนหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าได้มาจากธรรมอี๋ เมื่อข้าพเจ้านำหินหลายๆก้อนมาใส่ใว้ในอุ้มมือเพื่อนั่งสมาธิภาวนา เมื่อทำความเพียรได้ระยะเวลาหนึ่ง ก็พบว่าหินก้อนนั้นซึ่งอยู่ต่ำกว่าหินก้อนอื่นค่อยขยับตัวดันตัวเองขึ้นมาจนอยู่ข้างบนหินก้อนอื่น เมื่อข้าพเจ้าได้สัมผัสและเจอเหตุการณ์เช่นนั้นจึงจำเอาไว้ พอนั่งสมาธิเสร็จจึงเปิดมือดูพบว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่งนัก แต่น่าเสียดายที่หินก้อนนั้นไม่ได้อยู่กับข้าพเจ้าอีกแล้วล่ะ
๑๕. เจองูยักษ์เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าไปสร้างวัดใหม่ ในค่ำคืนหนึ่งในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ พระจันทร์เต็มดวง สาดส่องแสงสีทองสว่างไสวไปทั่วท้องฟ้าและพื้นดิน ข้าพเจ้าได้รู้สึกตัวขึ้นมาในตอนดึก ก็ต้องตกใจเกือบยั้งสติไว้แทบไม่อยู่ เนื่องจากข้างบนหัวหรือตรงหน้าข้าพเจ้าขณะนั้น ต้นไม้ใหญ่กลายเป็นพญางูตัวใหญ่มากๆ ตัวดำเหมือนกับนิลมันเลื่อมเหมือนกับทาน้ำมันไว้ทั้งตัว มีตาสีแดงเท่าไข่ไก่ มีหัวเวียนรอบตัวประมาณ ๙ หัว แต่ตัวของพญางูไม่ขยับ ข้าพเจ้าเกือบจะลุกขึ้นวิ่งหนี ถ้าหนีอาจจะเป็นบ้าได้ จึงพิจารณาปลงสังขาร ตายก็ตาย จึงหลับไม่ใส่ใจ ก็ผ่านไปได้อีกครั้ง
๑๖. เสียงการ้องข้างโบสถ์ บอกเหตุ มีครั้งหนึ่งมีเสียงกาบินมาเกาะตรงประตูโบสถ์แล้วร้อง ๖ ที ปรากฏว่ามีคนตายติดต่อกัน ๖ คน จริงๆ แสดงว่าเรื่องลางบอกเหตุหรือลางสังหรณ์ ไม่เชื่อก็ไม่ควรจะลบหลู่ เพื่อเป็นเรื่องที่เราก็ไม่อาจที่จะสามารถจะคาดเดาหรือคาดคะเนได้
๑๖. บวชสามเดือนสร้างวัดได้หนึ่งแห่ง ข้าพเจ้าบวชได้สามเดือนสามารถสร้างวัดได้พร้อมทั้งพระพุทธรูปองค์ใหญ่และอื่นๆอีกมากมาย
ประสบการณ์ที่ได้พบเจอมายังมีอีกมากถ้าจะเล่าให้หมดก็คงจะยังไม่จบ เอาไว้ในโอกาสหน้า ค่อยเล่าสู่กันฟังอีกทีก็แล้วกัน ส่วนคนที่ถูกผีอำ ให้ภาวนา พุท โธ ในใจรอดพ้นแน่นอน
๘. คำว่าครู
ครูบาอาจารย์ มีหน้าที่แนะนำและสั่งสอน มิให้ลูกศิษย์เดินผิดทาง เป็นได้แค่คนชี้แนะแนวทางเท่านั้น แต่การกระทำดีที่จะบังเกิดขึ้นได้กับลูกศิษย์นั้น ลูกศิษย์ต้องเป็นคนทำเอง วิชาความรู้ต่างๆนาๆ ที่ครูบาอาจารย์มอบให้เปรียบเสมือนต้นกล้าเล็กๆที่มอบให้แก่ศิษย์ ส่วนจะดีชั่วยังไง เจริญงอกงามเติบโตได้แค่ใหน ท่านคงต้องเป็นคนทำมันเองแล้วล่ะ จะได้มากได้น้อยก็คงจะเป็นไปตามบุญบารมีเก่าที่ท่านได้เคยทำและสะสมมาด้วย แต่ถึงจะ ช้าๆก็ได้พร้าเล่มงาม
๙.การเปิดญาณบารมี
จากประสบการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต่างๆนาๆ ดังที่ได้หยิบยกขึ้นมา หลายๆเรื่องล้วนแล้วต่างชักโยง ต่างๆ เพื่อที่จะทำให้ตัวข้าพเจ้าค้นพบวิชาการเปิดญาณบารมี ซึ่งการเปิดญาณบารมีจะเน้นที่บารมีของตัวบุคคลเป็นส่วนใหญ่ โดยการเปิดญาณบารมีจะเริ่มต้นตั้งแต่การเปิดจิต แล้วจะตามมาด้วยวิญญาณ ธาตุขันธ์ กาย และรอบกายเป็นที่สุด โดยการเปิดญาณบารมีจะสำคัญมากที่การเปิดจิต โดยจะใช้บทบริกรรม นะมะพะทะ หรือ จะภะกะสะ หรือ นะมะอะอุ หรือ นะโมพุทธายะ โดยให้ท่องออกเสียงดังๆ เร็วๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตจะรวมตัวเข้าสู่ภวังค์ เมื่อรวมจิตเป็นหนึ่งแค่ชั่วขณะช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น คาถาสวดที่จะออกมาตามกำลังบุญบารมีของตัวบุคคลนั้นๆ ก็จะรัวออกมาทันที
ข้อดีของการเปิดญาณบารมี มีอยู่หลายๆข้อดังที่ได้ผ่านประสบการณ์จริงมาแล้ว ดังนี้
๑. ช่วยแก้ปัญหาอาการของร่างทรง ซึ่งการเปิดญาณบารมีจะเข้าไปปรับแก้ ตั้งธาตุขันธ์ของคนมีร่างทรงให้คงที่และยังช่วยให้สามารถรับกับบารมีขององค์เทพได้ดี ช่วยเหลือตัวเองได้
๒. ช่วยเหลือคนที่มีบารมีเก่า ใหม่ มากเกินไป คนที่จะมีทุกข์ได้ไม่ใช่แค่เรื่องกรรมชั่วเท่านั้น ถ้าใครมีกรรมดีมากๆ โดยที่ตัวเองไม่สามารถรับไหวก็ทับตัวเองตายได้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นการเปิดญาณบารมีจึงมีส่วนที่จะเข้าไปช่วยในส่วนของธาตุ ขันธ์ ร่างกายของมนุษย์ให้สามารถรับบารมีบุญที่มากเกินให้พอดีได้ ดังคำที่ว่าก้อนเงินหรือก้อนหิน ก็สามารถที่จะทับคนตายได้เช่นเดียวกัน ถ้าเรามีกำลังพอก็รอดได้
๓. ช่วยเหลือคนที่กำลังมีกรรมหนัก โดยการเปิดญาณบารมีจะขับไล่สิ่งที่มาแอบแฝง ไม่ว่าจะเป็นภูตผี ปีศาจ เจ้ากรรมนายเวร ออกจากตัวให้หมด แล้วเมื่อเขาทำอะไรเราไม่ได้ เราก็ทำบุญทำทานให้กับเขาตามสมควรกับกำลังกรรมที่ติดค้างกันมา เขาก็จะอโหสิกรรมให้เรา
๔. ช่วยคนที่มีคาถาเก่าติดตัวตามมาเกิด เมื่อมีของดีติดตัวมา ก็ทำให้ถูกต้อง แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง
๕. ดูดวง ตรวจเช็คกรรมได้
การเปิดญาณบารมียังมีเนื้อหาอีกมากมาย ถ้าท่านใดมีความสนใจก็ติดต่อสอบถามได้นะครับ
๑๐. ประสบการณ์สงเคราะห์สรรพสิ่ง
- ช่วยแก้ไขบ้านอาถรรพ์ เรื่องลี้ลับที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ มีอะไรมากมายหลากหลายนัก ยากที่จะคาดเดาได้ว่า สิ่งใหนจะเกิดขึ้น สิ่งใหนจะตั้งอยู่ได้นานและสิ่งใหนจะดับไปในเร็วพลัน ถึงแม้ว่าในหลายๆครั้งท่านอาจจะยังหาเหตุผลและการพิสูจน์ให้คนอื่นรู้เห็นได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ แต่ท่านก็สามารถรับรู้เหตุการณ์ บางเรื่องเหล่านั้นได้ด้วยตัวของท่านเอง ดังเรื่องที่จะบรรยายในส่วนต่อไปเกี่ยวกับ บ้าน ซึ่งอาจจะมีส่วนทำให้ชีวิตของครอบครัวของท่าน ได้รับความสุขหรือทุกข์ ท่านอาจจะโต้แย้งว่า ใช่ กับ ไม่ใช่ แต่ละคำตอบข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าล้วนแล้วแต่มีเหตุผลในตัวของมันเอง แต่ทว่าคำตอบที่ท่านทั้งหลายได้เจอนั้นจะเป็นคำตอบที่ถูกหรือไม่ อย่างไร หลังจากที่ได้สาธยายมาก็ยืดเยื้อพอควร ข้าพเจ้าก็จะเรื่องเข้าเรื่องเลยทันที มีลูกศิษย์ท่านหนึ่งเคยมาหาข้าพเจ้าเพื่อตรวจดูดวงซะตา พร้อมทั้งที่อยู่อาศัย ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเอง ก็พบว่าลูกศิษย์คนนั้นมีอาการแปลกๆหลายๆอย่าง มีลูกแก้วรักษาโดนคุณไสย เป็นต้น (ซึ่งจะไม่ขอนำมากล่าวโดยละเอียดเพื่อเป็นการให้เกียรติ) ซึ่งเมื่อข้าพเจ้าได้ทำนายทายทักลูกศิษย์คนนั้นก็ถึงกับอุทานว่าใช่ดังที่อาจารย์พูด แม่นจริงๆ พร้อมทั้งยกมือขึ้นสุดหัว ยอมกราบไหว้ (ลูกศิษย์คนนี้มีอายุมากกว่าข้าพเจ้า) แล้วข้าพเจ้าก็ได้ตรวจดูบ้านที่พักให้กับลูกศิษย์ พร้อมทั้งบอกกล่าวไปว่า บ้านโดนคนมีวิชาทำของใส่ จึงได้ทำน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์มอบให้เพื่อให้นำไปประพรมทั่วบ้านที่อาศัยอยู่ เมื่อลูกศิษย์ได้นำน้ำมนต์กลับไปถึงหน้าบ้าน ได้เกิดอาการขนพองสยองเกล้าพร้อมทั้งมีลมลูกใหญ่พัดกระหน่ำมายังตัวลูกศิษย์(ออกมาจากข้างในบ้าน)เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังนั้นขึ้น ทางฝ่ายลูกศิษย์จึงได้รีบประพรมน้ำมนต์ให้ทั่วบ้าน( เกิดอาการขนพองสยองเกล้าตลอด )พร้อมทั้งนำมาอาบ ดื่มกิน จนเสร็จพิธี หลังจากวันนั้นป้าคนนั้นก็ได้นำพา ลูกหลานญาติพี่น้องแห่มาขอความเมตตาอนุเคราะห์จากข้าพเจ้าทั้งหมดวงศ์ตระกูล เมื่อข้าพเจ้าทำการสงเคราะห์ ก็พบว่าทุกอย่างดีขึ้น เป็นคำยืนยันที่ป้าคนนั้นโทรมาบอก ว่าของจริง ดีจริง และขออโหสิกรรมที่ตอนแรกไม่เชื่อ เพราะคิดว่าอายุยังน้อยไม่น่าจะเป็นของจริง
- ช่วยแก้ไขกรรม เริ่มต้นวิชาการเปิดญาณบารมี ถ้าจะกล่าวถึงเรื่องของกรรม ทุกท่านที่เกิดมาในโลกใบนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นคำว่า กรรม ทุกคน เพราะทุกสิ่งล้วนเกิดมาจากกรรม เป็นผู้รับกรรมและเป็นผู้สร้างกรรม ถ้าจะถามว่าท่านมีทางที่จะพ้นกรรมได้ใหม คำตอบคือ มี แล้วถ้าท่านจะถามว่ามีอะไรบ้าง ข้าพเจ้าก็จะตอบให้ ดังนี้คือ ๑.บรรลุธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายสำหรับคนที่เข้าใจและมีบารมีถึงพร้อม ถึงกาล ๒.การอโหสิกรรม ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เนื่องจากว่า ท่านทำบุญ อุทิศส่วนบุญ กุศล ให้กับเจ้ากรรมนายเวรแล้วทางฝ่ายเจ้ากรรมนายเวรเลิกราจากอาการ จองเวร จองกรรม กับตัวท่าน แต่ก็ยังยาก ที่จะให้คนที่มีความเครียดแค้นตัวเราอย่างมากมาย อยู่ดีๆจะให้เลิกราจากกันไป ง่ายๆ ๓. การป้องกัน ซึ่งต้องอาศัยผู้ที่มีบารมีสูงกว่า เจ้ากรรม นายเวร หรือบารมีที่ตัวเราสามารถสร้างได้เอง และเกิดมหากุศลอย่างมากมายนับไม่ถ้วน จากทั้ง ๓. ข้อที่ได้กล่าวมาแล้วเบื้องต้นนั้นสามารถช่วยได้ด้วยวิธี การเปิดญาณบารมี ซึ่งการเปิดญาณบารมีจะไปช่วยขับสิ่งที่ไม่ดีออกจาก จิต วิญญาณ ธาตุ กายและคุ้มครองรอบกายท่าน จึงมีผลทำให้ เจ้ากรรม นายเวร ไม่สามารถทำอะไรตัวท่านได้
และนั่นก็เป็นโอกาสที่ตัวของท่านจะสามารถทำบุญให้ เจ้ากรรมนายเวร เมื่อเจ้ากรรมนายเวรทำอะไรท่านไม่ได้และได้รับบุญจากตัวท่าน ก็จะเกิดการอโหสิกรรม ทันทีตามเหตุและผล
หลังจากที่สาธยายมามาก ก็จะขอเข้าเรื่องทันที ทันใด มีอยู่ครั้งหนึ่งมีลูกศิษย์อยู่คนหนึ่ง เป็นเด็กหนุ่มมาดูดวง ตรวจเช็คกรรม ข้าพเจ้าจึงได้ทำนายทายทักไปว่ามีเจ้ากรรมนายเวรติดตามคอยกลั่นแกล้งอยู่ ซึ่งเป็นเทวดาผู้ชายและเคยเป็นนายเก่าก่อนที่จะมาจุติ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งลูกศิษย์คนนั้นเคยไปลบหลู่ท่าน จึงเป็นเหตุที่ต้องโดนกลั่นแกล้งมาโดยตลอด ลูกศิษย์คนนั้นก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดอาการแปลกๆจึงได้ไปทำบุญเพื่อขอขมาตามที่ข้าพเจ้าเคยแนะนำเอาไว้ ( หลวงปู่เจ้าอาวาสวัดนั้นได้ยืนยันว่าสิ่งที่เขาพูด จริงทุกอย่างไม่ผิดแม้แต่คำเดียวเลย อย่าสงสัย ดีแล้ว ) จึงหายจากอาการผิดปกติและไม่เป็นอีกเลย เมื่อลูกศิษย์คนนั้นเกิดความเชื่อพร้อมทั้งมีศรัทธาตั้งมั่น ข้าพเจ้าจึงได้เปิดญาณบารมีให้ เมื่อเปิดให้แล้วสามารถสวดญาณบารมีได้ จึงเชื่อแน่ว่าสิ่งลี้ลับมีจริง คุณครูบาอาจารย์ดีจริง และมีอยู่ครั้งหนึ่งลูกศิษย์คนนี้ได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่ง อยู่ภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อนั่งสมาธิภาวนาได้เกิดเหตุอัศจรรย์อย่างมากมาย ที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน เมื่อเล่านิมิตให้พระที่ดูแลกรรมฐานที่วัดแห่งนั้นฟัง พระท่านถึงกับอึ้งพร้อมทั้งอุทานออกมาว่า อัศจรรย์จริงๆ มหัศจรรย์จริงๆ เป็นไปได้อย่างไร อาตมาและภิกษุอื่นๆที่นี่ ฝึกมาอย่างต่ำประมาณ ๑๐ กว่าปีจึงสามารถเกิดนิมิตอย่างนี้ได้ ท่านไปทำอะไรมา ลูกศิษย์ไม่ได้บอก แต่ได้เล่าคำทำนายที่ข้าพเจ้าเคยพูดไว้ให้พระฟัง พระท่านว่า จริงทุกอย่าง ถูกทุกอย่าง อย่าสงสัยอีกเลย นี่คือคำบอกกล่าวบางส่วนที่ลูกศิษย์คนนั้นได้มาเล่าให้กระผมฟัง หลังจากนั้นลูกศิษย์คนนั้นจึงได้พาญาติ พี่น้อง หมู่ญาติทั้งหมด มาให้ข้าพเจ้าสงเคราะห์ให้
- ช่วยคนที่เคยทำแท้ง พระพุทธเจ้าเคยกล่าวไว้ว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ซึ่งทุกอย่างที่เกิดมาในโลกใบนี้ล้วนแล้วแต่ อยากได้ดีกันทุกคน คงไม่มีใครอยากชั่วมาตั้งแต่เกิด แต่ความอ่อนไหว และไม่มั่นคงต่อความดีของหลายๆคน พร้อมทั้งสิ่งชักนำหลายๆอย่าง จึงมีผลทำให้ท่านหลายๆท่านทำชั่ว เดินผิดทาง เคยมีลูกศิษย์อยู่หลายๆคนเคยทำแท้งมา เมื่อมาถึง บางคนเกิดอาการสั่นร้องไห้ บางคนเกิดอาการแน่น หนัก แล้วแต่กรณีไป เป็นเรื่องปกติที่คนที่เคยทำแท้งมาชีวิตจะตกทุกข์ได้ยากโดยตลอด มีลูกศิษย์อยู่คนหนึ่งพยายามจะหาวิธีการแก้ไข แต่ก็ยังหาไม่เจอ จนมาพบกับตัวข้าพเจ้าเมื่อทำการตรวจเช็คกรรม ก็ได้ทำนายทายทักไปว่า เคยทำแท้งมา เจ้าตัวจึงได้ยอมรับว่าจริง จึงขอให้ข้าพเจ้าช่วยเหลือ ข้าพเจ้าจึงได้ช่วยเหลือไปตามโอกาสอันควร จึงได้หายทั้งคนและผี หลังจากนั้นลูกศิษย์คนนั้นจึงได้พาคนรู้จักมาให้ข้าพเจ้าช่วยสงเคราะห์จนหมดสิ้น .หลายๆคนที่โดนผีติดตาม ผีก็จะหลอกว่าเป็นองค์เทพ องค์นั้น องค์นี้ จนทำให้มนุษย์ที่ยังมีกิเลสและกรรมคิดไปว่าตัวเองมีองค์เทพมาอยู่ด้วย มีอยู่คนหนึ่งคิดว่าตัวเองมีองค์ เป็นร่างทรง มาหาข้าพเจ้า สุดท้ายก็ยอมรับว่าเคยทำแท้งมา จึงขอให้ข้าพเจ้าช่วย หลังจากที่ช่วยสงเคราะห์ ก็มาขอขมา ลาโทษกับตัวข้าพเจ้า ที่คิดมาลองบารมี หลังจากนั้นลูกศิษย์คนนั้นจึงได้พาคนรู้จักมาให้ข้าพเจ้าช่วยสงเคราะห์จนหมดสิ้น. มีอีกคนหนึ่งมีอาชีพเป็นอาจารย์ มีพี่สาวเป็นร่างทรงหลวงปู่เทพโลกอุดร ทั้งยังเคยไปทำการรักษามาแล้วหลายสถานที่ เสียเงินเสียทองมาก็เยอะ พอมาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้ทำการตรวจเช็คกรรมแล้วทำนายทายทักไปว่า เคยทำแท้งมา ตอนแรกลูกศิษย์คนนั้นไม่ยอมรับเนื่องจาก อาย และกลัวเสียเกียรติ แต่ความจริงย่อมเป็นสิ่งไม่ตาย เมื่อข้าพเจ้าได้ทำพิธีให้ ลูกศิษย์คนนั้นก็ร้องให้ออกมาเป็นเสียงเด็กทันที ข้าพเจ้าจึงได้ทำการสงเคราะห์ทั้งคนและผี ให้มีความสุข หลังจากลูกศิษย์คนนั้น รู้ตัว มีสติสัมปชัญญะกลับคืนมาจึงได้ยอมรับว่าเคยทำแท้งมาจริงๆ และเคยไปทำพิธีมาแล้วหลายๆที่ คิดว่าวิญญาณเด็กที่เคยทำแท้ง จะไปสู่สุคติแล้ว จึงไม่ได้บอกไปเพราะ อาย หลังจากที่ได้รับการสงเคราะห์จากข้าพเจ้า เหตุการณ์ร้ายๆก็ได้สงบลง หลังจากนั้นลูกศิษย์คนนั้นจึงได้พาคนรู้จักมาให้ข้าพเจ้าช่วยสงเคราะห์จนหมดสิ้น
ยังมีเหตุการณ์อีกมากมายเกี่ยวกับคนที่เคยทำแท้งแล้วได้รับการสงเคราะห์จากข้าพเจ้าถ้าจะนำมาเล่าหมด ก็คงจะไม่จบง่ายๆเพราะฉะนั้นจึงขอหยุดไว้แค่นี้ก่อน สำหรับคนที่เคยทำแท้ง
( ความไม่เที่ยงได้เกิดขึ้นกับเราแล้วหนอ เป็นคำอุทานที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เมื่อทำดีไปแล้ว กลับไม่ได้ในสิ่งที่ควรจะเป็น เหตุเกิดเพราะว่า กิเลสอันบาปหนาพาเป็นไป พระท่านว่าการเกิดเป็นคนนั้นยาก แต่การรักษาใจให้ทำดีหรือจักบุญคุณที่ได้รับนั่นสิ ยากกว่าการเกิดมากยิ่งนัก)
-โดนคุณไสย ยาสั่ง ยาเบี่อ กินของต่ำ คนเราทุกคนเกิดมาก็ต้องกิน เพื่อให้ร่างกายสามารถดำรงชีพอยู่ได้โดยปกติสุข มีหลายๆคนกินอิ่มทุกมื้อ มีหลายๆคนกินอิ่มบางมื้อ แต่มีบุคคลประเภทหนึ่งที่ชอบกินของผิดหรือโดนคนอื่นนำมาให้กิน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไปในทางไสยศาสตร์ คุณไสย มนต์ดำ เป็นส่วนใหญ่ มีลูกศิษย์อยู่คนหนึ่งเมื่อได้รับการตรวจเช็คกรรมจากข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้ทำนายไปว่าโดนคุณไสยโดยไปกินของต่ำมา เมื่อทำการสอบถามพบว่าเคยไปกินน้ำมนต์ของผู้มีวิชามา ข้าพเจ้าจึงได้ทำการสงเคราะห์ เมื่อให้สวดญาณบารมีลูกศิษย์คนนั้นก็เกิดอาการแน่นหน้าอก แล้วอ๊วกออกมา มีอาการหน้าเขียวซ้ำเหมือนกำลังจะตายเสียให้ได้ เมื่อเห็นดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้ช่วยเหลือจนหายสิ้น ลูกศิษย์คนนั้นจึงได้หายจากอาการผิดปกติต่างๆที่เคยเกิดขึ้นก่อนที่จะมาหาข้าพเจ้าหลังจากนั้นลูกศิษย์คนนั้นจึงได้พาคนรู้จักมาให้ข้าพเจ้าช่วยสงเคราะห์จนหมดสิ้น. อาการของคนที่กินของต่ำมาซึ่งจะมีอาการเกิดขึ้นแต่ต่างกันไปดังนี้คือ โดนลมพิษเข้าตัว จะมีอาการอ๊วกเป็นลมออกมา ส่วนคนที่กินน้ำผิดมา จะมีอาการอ๊วกเป็นน้ำ ยางตายออกมา และคนที่กินอาหารผิดมาก็จะมีอาการอ๊วกเป็นอาหารออกมา ตามวาระกาลที่ทำมานั่นเอง การสงเคราะห์คน ถ้าช่วยไปแล้วลบหลู่คุณครูบาอาจารย์ผู้ช่วยเหลือ ผู้มีพระคุณ หรือไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำที่สั่งสอนไปในทางที่ดี ข้าพเจ้าก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับบุคคลคนนั้นอีก แต่ถ้าจำเป็นต้องช่วยจริงๆก็คงต้องทำบุญใหญ่มากๆ
-ร่างทรง องค์เทพ เรื่องของร่างทรง องค์เทพ เป็นเรื่องที่หลายๆคนอาจจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เหตุผลอาจเกิดเพราะว่า ยังไม่เคยเกิดประสบการณ์เกี่ยวกับร่างทรงกับตัวเอง แต่คำโบราณที่ท่านบอกไว้ว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ยังใช้ได้เสมอ มีลูกศิษย์หลายๆคนมาหาโดยมีอาการคล้ายมีองค์เทพมาอยู่ด้วย แต่ยังหาทางวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง ยังไม่เจอ เมื่อแก้ไขข้อติดขัดยังไม่ได้ก็เป็นเหตุทำให้ เทพก็ทุกข์ คนก็ทุกข์ ผีหรือเจ้ากรรมนายเวรก็เป็นทุกข์ ข้าพเจ้าจึงได้ทำการสงเคราะห์โดยการเปิดญาณบารมีให้แล้วช่วยในหลายๆเรื่อง จนทุกอย่างดี เมื่อทุกอย่างดีแล้ว เทพก็สุข คนก็สุข ผีหรือเจ้ากรรมนายเวรก็เป็นสุข จึงเป็นสุขถ้วนหน้ากันไป ลูกศิษย์คนนั้นจึงได้ขอขมาลาโทษ ที่มีเจตนาอยากมาลอง แต่วันนี้เจอของจริงเห็นผลจริง ดีแท้ หลังจากนั้นลูกศิษย์คนนั้นจึงได้พาคนรู้จักมาให้ข้าพเจ้าช่วยสงเคราะห์จนหมดสิ้น
- เรียนธรรมบรรลุ แต่ได้ผีมาแทน ครอบร่างทรง แต่ได้กุมารทองมาแทน เรียนวิชาแต่ได้ อวิชามาด้วย มีหลายคนที่มาหาข้าพเจ้า แล้วได้รับการสงเคราะห์จากข้าพเจ้า ซึ่งมีทั้งคนธรรมดา รวมไปถึงพระภิกษุสงฆ์ ก็มีมาเยอะซึ่งข้าพเจ้าก็ได้ทำการสงเคราะห์ไปตามกาลเวลาที่อันควรจะทำไป บางคนก็มีผีติดตามมาอย่างเดียว บางคนก็มีทั้งผีและคุณไสย มนต์ดำมาด้วย บางคนก็มีผีติดตามมาอย่างเดียว บางคนก็มีทั้งผีและคุณไสย มนต์ดำ พร้อมทั้งของแถมคือ เจ้ากรรมนายเวร ติดตามมาทั้งขบวน ส่วนใหญ่ผีที่ติดตามมาก็มาจากสำนักวิชาธรรมบรรลุ ยัดให้มา เพื่อต้องการเรียกหรือบังคับให้ผู้เรียนวิชากลับไปหาเพื่อต้องการลาภสักการะ ควรระวังและจำไว้ให้ดีนะ ถ้าเป็นสายธรรมบรรลุ จะชอบยัดพวกภูตผีตายโหงหรือผีที่เคยเรียนวิชาคุณไสย มนต์ดำมาก่อนที่จะกลายมาเป็นผี ส่วนใหญ่เป็นผีดื้อ ถ้าเป็นสายร่างทรง องค์เทพ ชอบครอบกุมารทองให้ ถ้าเป็นสายวิชาอาคมชอบยัดอวิชาให้เพื่อให้เกิดเรื่องทุกข์ร้อนใจ อยู่ตลอดเวลา โดยส่วนใหญ่แล้วการแก้อาการผิดปกติไม่ว่าจะเป็น ผี หรือคุณไสยมนต์ดำ ที่สำนักต่างๆ มี ๑๐ ส่วน ชอบช่วย แค่ครั้งละ ๑ ส่วน คือการเลี้ยงเชื้อเอาไว้นั่นเอง ควรระวังให้มากๆเลยนะ พูดสาธยายมามากก็กลับมาเข้าเรื่องกันต่อ สำหรับคนที่ถูกผีติดตามมาก็จะเกิดอาการร้องให้ เสียใหญ่ ส่วนคนที่โดนคุณไสยติดตามมาก็จะเหนื่อยใจแทบขาด ไม่มีเรี่ยวแรง ไม่มีแรง เป็นต้น เมื่อถึงเวลาอันควรข้าพเจ้าก็สงเคราะห์ให้หายในเร็วพลัน ในวันนั้น หลายๆคนบอกว่าไม่เคยเชื่อเลยว่าเรื่องแบบนี้จะมีอยู่จริง แต่วันนี้เชื่อถือแล้ว เวรกรรมมีอยู่จริงและจะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หลังจากนั้นลูกศิษย์คนนั้นจึงได้พาคนรู้จักมาให้ข้าพเจ้าช่วยสงเคราะห์จนหมดสิ้น ( มีญาติของผู้ป่วยหลายๆคนบอกว่า ถ้าเป็นที่อื่นนะมันโดดขึ้นขี่คอเล่นหัวเลยล่ะ แม้แต่พระมันก็ยังไม่เว้น แต่มาหาอาจารย์บอย กลับตรงกันข้ามดูท่าที จะเคารพและเกรงกลัวอาจารย์เป็นอย่างมาก และหลังจากที่ได้รับการช่วยเหลือเหตุการณ์ไม่ดี สิ่งอัปมงคลก็ได้หายไปสิ้น บางคนก็สามารถสงเคราะห์คนต่อได้ตามบารมี)
- ช่วยร่างทรงทั้งตำหนัก มีอยู่ครั้งหนึ่งมีเจ้าของตำหนักร่างทรงโทรมาจาก จังหวัดอุตรดิตถ์และที่พัทยา โดยกำลังรับความลำบาก และวุ่นวายจากเรื่องทุกข์ร้อนต่างๆ ทั้งสำนัก บางคนก็มีร่าง พระโมคคัลลานะ บางคนก็มีร่างทรงของเจ้าแม่กวนอิม บางคนก็มีร่างทรงของพระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาฬ บางคนก็มีร่างทรงของ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ เป็นต้น ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้ทำการสงเคราะห์ ช่วยเหลือจนหายป่วยไปจนหมดสิ้น
- จากประสบการณ์ที่เคยสัมผัสมา ถ้านำมาเล่าให้ฟังทั้งหมดคงจะสาธยายไม่หมด เพราะมีเยอะมากๆจึงนำมาเล่าให้ฟัง เผื่อว่าจะได้เป็นแนวทางและประสบการณ์ให้ท่านทั้งหลายได้พึงพินิจพิจารณาตามสมควรแก่กาลเวลาของพวกท่านทั้งหลาย ทุกเมื่อทุกกาล ก็ข้าเทอญ
๙. คาถาหรือบทสวดมนต์ที่ดีที่สุด
๑. บทอากาวัตตาสูตร เป็นบทสวดเพื่อเสริมบารมีโดยตรง สวดได้วันละ ๑ จบ เป็นอย่างต่ำ
๒. บทอิติปิโส(พุทธคุณถอยหลัง) สวดเพื่อแก้คุณไสย เสนียดจัญไร ถอดอาถรรพ์ มนต์ดำ
๓. บทปาฏิโมกข์ถอยหลัง สวดเพื่อให้เกิดอิทธิฤทธิ แก้คุณไสย มนต์ดำ ปีศาจ
๔. เมตตาใหญ่หรือเมตตาหลวง สวดเพื่อให้เกิดความสิริมงคลแก่ตัว ให้เกิดเมตตามหานิยม
๕. บทพระอุปคุต ใช้ปราบมารโดยตรง
๖. พระธัมมจักรกัปวตนสูตร สวดเพื่ออัญเชิญให้เหล่าเทพเทวามาฟังธรรมแล้วให้พร
๗. คำบูชาสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน รอยพระพุทธบาท คำบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
สวดเพื่อทำให้จิตเกิดกุศล ผลบุญแห่งการระลึกรู้
ประวัติย่อผู้เขียน
ชื่อ นายวงศ์สถิตย์ พวงทอง
จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
จบการศึกษาระดับปริญญาโท คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
089 9853139 อ.บอย
จัดสร้างโดย
1. พ่อวิสุทธิ์ มธุรส 9. พ.ต.ท.จงประเสริฐ มธุรส
2. แม่คำมุล มธุรส 10. จ.ส.ต. คำพันธุ์ มธุรส
3. พ่อวิเชียร พวงทอง 11. น.พ. สุปัน มธุรส
4. แม่วะภาวันดี พวงทอง 12. จ.ส.ต.ประสิทธิ์ มธุรส
5. นายวงศ์สถิตย์ พวงทอง 13. นายพิชัย มธุรส
6.นางสาวสุดารัตน์ พวงทอง
7. นางสาวอมรรัตน์ ชัยกอง พร้อมครอบครัว ฯ
8. นายพงศ์เทพ พวงทอง
พร้อม ญาติ เทวดารักษา นายเวร เชื้อโรค และสรรพสิ่งทั้งหลายทุกรูปนาม