คิสตี้

คำตอบที่ 1
ต่อไปก็คงเข้าไม่ได้แล้ว รถออฟโรดที่จะนั่งรถคุณเต๋น ผมว่ายากครับ เป็นไปไม่ได้เลย แล้วนักท่องเที่ยวธรรมดา ให้มานั้งพร้อมเรอะ เปื้อนโคลน พร้อมเสียค่าใช้จ่าย ยากอีกเช่นกัน ครับ อุทยานหลายที่ ต้องการให้บุคคลในพื้นที่มีรายได้ ด้วยการนำรถออกให้บริการ ที่สำเร็จก็มีไม่กี่ที่ จะเห็นก็มี ทีรอซู ท้ายที่สุด นักท่องเที่ยว ที่พร้อมจะนั่งรถชาวบ้านเข้าไป ก็มีไม่กี่คน ถ้าสถานที่นั้น ไม่สวย จริง คุ้มค่ากับการเดินทาง นักท่องเที่ยว ส่วนใหญ่ สัมภาระเยอะ และต้องการขับรถเข้าไปด้วย ตัวเอง ผมมองไม่เห็นเลย ว่าเล่น คุณเต๋น จะมีรายได้ ก็คงปิดสถานเดียว ครับ

จาก ปป 124.121.106.37 พฤหัสบดี, 7/12/2549 เวลา : 17:06

คำตอบที่ 3
ต้องเอาที่เค้าชี้แจงมาให้ดูด้วยครับ......ผมก็เพิ่งเคยไป แต่ก็เห็นเหมือนคำตอบนี้นะ

♣ ....บิดเบือนกันไป รูปที่ถ่ายนั่นมันทางเข้าน้ำตกนี่ครับ ทางเข้าหมู่บ้านเป็นทางลูกรังอย่างดี

....ผมเพิ่งเคยเข้าคลิ้ตี้แค่2ครั้งก็จริง แต่ที่เห็นชัดๆคือ ป่าถูกบุกรุก เพื่อทำไร่ข้าวโพด

จนเกือบจะถึงน้ำตกอยู่แล้ว ในเวลาเพียง2ปี

[color=red]....อยากจะยกตัวอย่าง ผาสวรรค์บน ที่ถูกปิดไป ลองไปดูในกูเกิ้ล ป่าบริเวณนั้น ตอนนี้ถูกถางจนโล่งเตียนหมดแล้ว ทำไม...[/color]

....ถ้ามีการปิดคลิตี้จริง ผมขอทายว่า เพียงปีเดียวเท่านั่น บริเวณน้ำตกคลิตี้ จะกลายเป็นไร่ข้าวโพดหมด เพราะขนาดมีคนเข้าไปรู้เห็น ยังตัดกันขนาดนี้ น่าสงสารประเทศไทยจริงๆ

....ในสายตาของคนทั่วไป เราอาจจะกลายเป็นพวกทำลายทาง ซึ่งก็คงเสียเวลาปล่าวที่จะไปนั่งอธิบายกัน แต่ถ้าเลือกกับการต้องเสียป่า ไปกับการถางป่า โดยมีนายทุนเป็นคนรับผลประโยชน์ และชาวบ้านได้ที่ทำไร่(ซึ่งทำกันมานานมากในเขต "อุทยานแห่งชาติทุ่งใหญ่เนรศวร") ท่านจะเลือกเอาอย่างไหน

....อย่างน้อย เรา...ก็เป็นอุปสรรคหนึ่ง ที่จะขวางกั้น ให้ป่าได้ยืดอายุของมันไปได้ แม้จะรู้ว่ามันเล็กน้อยเหลือเกิน

♣ ไม่ใช่ไม่เคยปิดน่ะ เคยปิดมาแล้วตรงไร่ข้าวโพดอ่ะ(ห้ามได้งัย ยังงง) จนท.อยากให้เข้าไป แกจะได้ไม่เหงา ส่วนพวกรุกป่าไม่อยากให้เข้า เพราะกลัวไปเห็น ไปพูดเรื่องรุกที่ ทางนั้นมัน 2 กม.เอง คนถึงชอบเข้า มันใกล้ อีกทางก็มี 13 กม.แต่มันไกลงัย

คนไม่เคยไป ไม่รู้หรอกครับ ว่าไร่ข้าวโพด มันรุกรามไปใหญ่โตแล้ว ทำไมกลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ ไม่พูด

ถึงบ้างล่ะครับ(ติดอะไรหรือ อิอิอิ)

ทางเข้าหมู่บ้านถึงทุ่งเสือโทนนั้น ก็เป็นทางอัดแน่นอย่างดี รถเก๋งวิ่งสบายๆ วิ่งได้ทั้งปี (ต้องลองไปดูก่ะตาครับ)

ในหมู่บ้านคลิตี้ล่าง บ้านเรือนเรียบร้อย มีร้านขายของใหญ่โต(เจ้าของมาจากไหน อิอิอิ)จานดาวเทียมอันบ่ะเลิ่ม อยู่หน้าร้าน

สภาพทางที่เห็นในรูปนั้น เป็นทางเข้าไปหน่วยและตัวน้ำตก ซึ่งเลยหมู่บ้านไปแล้ว และจะผ่านไร่ข้าวโพดของท่านๆทั้งหลายที่บุกรุกเข้าไปอ่ะแหละ.........คงมีนักเรียนไปอาศัยอยู่แถวน้ำตกมั่ง(เพราะเป็นเขตอุทยาน)

จนท.ที่หน่วยคลิตี้ ยังเคยโดนพวกชาวบ้านล้อมเลย ดันไปจับชาวบ้านที่จับปลาในที่ห้ามจับ(เอาก่ะเค้าเด่ะ)ทั้งที่ จนท.ที่หน่วยเป็นเพียงชายสูงวัย

ส่วนที่ว่าจ่ายเงิน 500 นั้น ถ้าท่านไม่รู้จริงก็บอกซิครับ คนรู้จิง เค้าจะได้มาบอก(ค่าผ่านไร่ข้าวโพดน่ะ ไม่ใช่ค่าผ่านทางหลัก ไร่ข้าวโพดที่บุกรุกเข้าไปปลูกในที่หลวงน่ะจ๊ะ)

แล้ว!!!!ที่ซ่อมทางอ่ะ ทางเข้าไร่ข้าวโพด ของพวกๆล่ะซิ่ อิอิอิ

จาก ต้องไปเห็นกับตา 202.57.188.3 ศุกร์, 8/12/2549 เวลา : 09:08

คำตอบที่ 8
ก็ถ้าเข้าและออกกันในเส้นทางเดิมก็คงจะไม่เกิดปัญหาเรื่องนี้หรอกครับ แต่นี่เล่นเข้าทางปรกติ(ทางลุย)แล้วออกทางหมู่บ้านกันก็สมควรโดนแล้วครับ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องไปออกกันทางหมู่บ้าน น่าจะเห็นใจชาวบ้านกันบ้าง เข้ามาทางไหนแล้วก็กลับออกทางนั้นก็สิ้นเรื่อง

ไม่ได้งั้นงี้นะครับ ไอ้พวกรถไม่พร้อมนี่แหละตัวดี พอเข้าไปแล้วรถพัง ก็เลยออกทางหมู่บ้านจะได้ง่ายหน่อย ส่วนใหญ่ก็คิดกันงี้ทั้งนั้นแหละ พอเจอหลายๆคัน เส้นทางๆหมู่บ้านก็ชิบหายหมด ก็ในเมื่อรักจะเที่ยวแบบนี้ก็รู้ๆกันอยู่ว่าโอกาสรถพังมันมี หากมันพังก็ใช้ความสามารถกันหน่อยในการกลับออกมาทางเดิมที่เข้ามาด้วยรถที่พังๆอยู่นั่นแหละ ไม่ไหวก็ให้พวกลากออกมาก็ได้แต่นี่เล่นไปเบียดเบียนคนอื่นก็สมควรแล้ว ชาวบ้านมันไม่ลากปืนออกมาส่องกบาลให้ตอนขับผ่านก็บุญตายห่าแล้ว

คลิตี้เนี่ย เขาเที่ยวกันมาตั้งแต่สมัยทางยังเป็น 12 กม.เต็มๆกี่ปีดีดักผ่านไปไม่เคยมีปัญหา กระทั่ง 1 ปีเศษที่ผ่านมานี่แหละ บรรดาขาดื้อมือใหม่ร้อนวิชาและมือเก่าแต่ไม่พัฒนาผุดขึ้นมาราวดอกเห็ด คิดว่าคงง่ายๆไม่มีไร ผลปรากฎเข้ายังไม่ทันถึงที่พักรถเดี้ยงกันเพียบ ผลสุดท้ายกลัวกลับบ้านไม่ได้ ก็เลยไปใช้เส้นทางหมู่บ้านเพราะปอดแหกไม่กล้ากลับทางเดิม ผลก็ออกมาอย่างนี้แหละ เซ็ง!

จาก นึกอยู่แล้วว่าวันนึงต้องเกิดเรื่องนี้ 58.136.20.211 ศุกร์, 8/12/2549 เวลา : 22:35

คำตอบที่ 10

อย่าทะเลาะกันเลย มีข่าวดีมาบอก
หลากหลายความคิดสร้างสรรเป็นสิ่งดี ในทุกสังคม

วันที่ 08 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10499

ทสจ.กาญจน์ฟันรับเงิน"ออฟโรด" ชี้"ชาวคลิตี้"หมดสิทธิปิดเส้นทาง

วอนคาราวานรถอนุรักษ์ผืนป่า

นายวินิจ รักชาติ หัวหน้าสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ทสจ.) กาญจนบุรี กล่าวถึงกรณีชาวบ้านคลิตี้ล่าง ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ออกมาร้องเรียนปัญหา "คาราวานออฟโรด" ใช้รถขนาดใหญ่บุกเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติลำคลองงู และตะลุยเส้นทางสัญจรในหมู่บ้านพังเสียหายนั้นว่า บริเวณดังกล่าวไม่มีเจ้าภาพรับผิดชอบโดยตรง เพราะเป็นพื้นที่คาบเกี่ยวด้วยกันหลายหน่วยงาน อาทิ เขตเตรียมประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติลำคลองงู ป่าสงวนแห่งชาติ และสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จึงทำให้คาราวานออฟโรดหันมาท่องเที่ยวตามเส้นทางดังกล่าว

"ประกอบกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรได้ประกาศปิดเส้นทาง คาราวานออฟโรดจึงเสาะแสวงหาเส้นทางตะลุยป่าในพื้นที่แห่งใหม่ ซึ่งปัจจุบันพบว่า จ.กาญจนบุรี จะมีคาราวานออฟโรดบุกตะลุยเข้ามาท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดยาว" นายวินิจกล่าว และว่า ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าเป็นความท้าทายที่พวกคาราวานออฟโรดอยากจะประสบ ยิ่งเจออุปสรรคยากลำบากมากเท่าไร ก็ยิ่งเพิ่มความมันและสะใจมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝน คาราวานออฟโรดจะชอบมาก เพราะจะได้นำเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับการผจญภัยมาใช้ได้อย่างเต็มที่

นายวินิจกล่าวว่า การท่องเที่ยวของ จ.กาญจนบุรี เป็นการขายธรรมชาติ เพราะมีพื้นที่ป่าที่สมบูรณ์ เดินทางไม่ไกลมากนัก ทำให้นักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และออฟโรดเดินทางเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่ทั้งนี้นักท่องเที่ยวจะต้องมีจิตสำนึกด้วยว่า ต้องช่วยกันดูแลรักษาผืนป่าให้คงความอุดมสมบูรณ์ไว้ เพื่อจะได้สัมผัสกับธรรมชาติเช่นนี้ตลอดไป อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอที่จะให้สั่งปิดเส้นทางคงเป็นไปไม่ได้ เพราะบริเวณดังกล่าวไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบ จึงไม่สามารถนำกฎหมายมาสั่งปิดได้

"ส่วนกรณีที่ระบุว่ามีการเสียค่าใช้เส้นทางคันละ 500 บาท จะต้องสอบสวนข้อเท็จจริง เพราะแท้ที่จริงไม่สามารถเรียกเก็บได้ หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่รู้เห็นเป็นใจ จะต้องดำเนินการอย่างแน่นอน" นายวินิจกล่าว

หน้า 9<

จาก คลิตี้ 202.139.223.18 เสาร์, 9/12/2549 เวลา : 04:22

คำตอบที่ 12
ไปมา2รอบแล้วต่างกันมาก พวกทำไร่ข้าวโพดรุกเกือบถึงหน่วยแล้ว เพราะไม่มีเจ้าภาพจึงออกมาเรียกร้องจะได้ทำไร่สะดวก เนื่องจากฝนหมดก็คงจะเตรียมถางที่รุกต่อ จะทันฝนหน้าพอดี ไอ้500ที่ว่านะก็คือไร่ข้าวโพดที่เขารุกมาเสมอถนน แล้วมีบางคนเปิดไลน์ผ่าน เจ้าของเขาระแวงอยู่แล้ว(ดูเหมือนมีแต่คนต่างด้าวมาเฝ้าไม่รู้เอาทุนมาขยายจากไหน)ก็คอยชะเง้อดูตลอด พอไปเข้าไร่ข้าวโพดปั๊บก็ไม่ยอมสุดท้ายเรียกค่าเสียหายไป แปลกไหมพี่น้องในป่ากำลังวิ๊นกันยังมานั่งดูเลย พวกเรานี่แหละที่จะชะลอการรุกล้ำพื้นที่หลวงของพวกเขาได้ ส่วนอีกด้านที่ไปโผล่กลางกลางหมู่บ้าน พวกเขาแสดงอาณาเขตุตีรั้วไม้ไผ่ซะอย่างดี เอาวัวมาเลี้ยงตีแปลงออกไปเรื่อยๆ ถ้าอย่างนี้เราเรียกร้องให้ทางกรมที่ดินรังวัดปักหมุดเลยดีไหมพื้นที่ป่าไม่จะได้อยู่ยั้งยืนยง

จาก ดับกลิ่น 124.121.149.141 อังคาร, 12/12/2549 เวลา : 23:32

คำตอบที่ 16
- ชอบอ้างว่าชาวบ้านร้องเรียน ก็ต้องถามว่าชาวบ้านคนไหนล่ะที่ร้อง ทำไมเขาต้องร้องเรียนกับNGO(โง่)ด้วยนะ เราเป็นชาวบ้านที่นั่นเราก็จะไม่ร้องเรียนหรอกพวกกลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ เพราะไม่คิดว่าจะทำอะไรได้นอกจากทำประชาสัมพันธ์ให้ตัวเองไปวัน ๆ กลัวจะไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากต่างประเทศ (มูลนิธิโซลอส)
- หรอกฝรั่งนั้นหรอกได้ แต่หรอกคนไทยไม่ได้หรอก เพราะเราไม่ใช่โง่(NGO) จะบอกให้เลยนะว่า ชาวคลิสตี้ล่าง(ไม่ใช่คลิสตี้บน)นั้นคือผู้บุกรุก เข้ามาแผ้วถางป่าถือครองที่ดินกันเมื่อประมาณ 10 กว่าปีนี้เอง ไปดูก็ได้ว่าภูมิลำเนาเดิมเป็นคนอิสานกันเป็นส่วนใหญ่ พวกเขาถางป่าแถวห้วยเสือทุ่งนางครวญขายเอาเงินแล้วก็ไปบุกรุกป่าแถวคลิสตี้ล่าง แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกัน เพราะพวกออฟโรดเขาเข้าป่าอีกทางหนึ่งซึ่งไม่ใช่ทางของชาวบ้าน
- ยังมีการบุกรุกถางป่าที่นั่นอีกมากมายนัก ไม่เห็นกลุ่มอนุกรักษ์กาญจน์จะแสดงบทบาทหรือจิตสำนึกในการหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติอย่างไรเลย พวกออฟโรดแม้จะทำให้ทางในป่ามีร่องรอยอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้สิ่งแวดล้อมต้องเสียหาย และพวกเขาทุกคนช่วยกันเป็นหูเป็นตารักษาสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี แล้วก็ไม่ต้องเอาเงินของมูลนิธิต่างประเทศมาใช้ด้วยซ้ำไป
- หรือพวกโง่มีอะไรก็ว่ามาได้

จาก ชาวเกาะ 221.128.88.222 พุธ, 13/12/2549 เวลา : 09:54

คำตอบที่ 17
ข่าวในหน้า 9 มติชน ฉบับเช้านี้

วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 25 ฉบับที่ 10504

"ออฟโรด"โต้ตะลุยคลิตี้ อ้างเขตท่องเที่ยว-ไร้ผู้คน แจงกิจกรรมช่วยสังคม

นายณัฐนันท์ จันทร รองประธานสมาพันธ์ออฟโรดแห่งประเทศไทย กล่าวชี้แจง ถึงกรณีมีผู้ร้องเรียนระบุกลุ่มคาราวานรถออฟโรดสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่อาศัยในบริเวณน้ำตกคลิตี้ล่าง อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เป็นเขตกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช อีกทั้งเป็นพื้นที่ที่ไม่มีประชาชนอาศัยอยู่ ดังนั้น จะเหมาว่ากลุ่มคาราวานออฟโรดทำเส้นทางเสียหายจึงไม่ถูกต้อง

นายณัฐนันท์กล่าวว่า สมาพันธ์ออฟโรดฯมีสมาชิกกว่า 100 ชมรม และมีรถออฟโรดนับหมื่นคันทั่วประเทศ มีกิจกรรมทำประโยชน์เพื่อการกุศล ช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ ช่วยเหลือนำข้าวของแจกจ่าย อาทิ อุทกภัย เหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิที่ชายฝั่งอันดามัน

นายปรัชญา จอมใจธิปิ สมาชิกชมรม โตโยต้า 4X4 คลับ จ.ปทุมธานี กล่าวว่า ขอตั้งข้อสังเกตว่าการวิพากษ์วิจารณ์นั้นน่าจะมีเงื่อนงำแอบแฝงจากกลุ่มลักลอบล่าสัตว์ป่าหรือตัดไม้ทำลายป่าไม้เกรงว่าชาวออฟโรดเข้าไปรู้เห็นถึงพฤติกรรมนำความลับมาเผยแพร่

หน้า 9<

จาก offroad 202.139.193.97 พุธ, 13/12/2549 เวลา : 10:02

คำตอบที่ 18
ในฐานะคนหัวใจออฟโรดเห็นเรื่องนี้แล้ว ก็อดไม่ได้ขอเรียนข้อความจริงที่ผมได้สอบถามจาก ครูใหญ่ครีตี้ล่างเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ได้ความจริงดังนี้ ชาวบ้านเขาตามหาตัวนายบุญส่ง ที่ให้ข่าว หาไม่เจอ ใครก็ไม่รู้แล้วผู้ใหญ่สอบถามทั้งหมู่บ้านก็ไม่มีใครให้ข้อความดังเป็นข่าว โดยเฉพาะ500บาท ทำให้เขาเสื่อมเสีย(ครูใหญ่เล่าต่อว่า)เรื่องรถอีต๋อกนะเป็นโครงการความคิดของคณะกรรมการหมู่บ้าน แต่ในทางปฏบัติยังไม่รู้ เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็ออฟโรด ชาวบ้านไม่ได้ต่อว่าชาวออฟโรด จะมีบางส่วนว่าก็ที่ใช่เส้นทางผ่านหมู่บ้านเข้าทาง3กม. ที่ตรงไร่ข้าวโพดก่อนเข้าเขตป่าน้ำตก คือต้องยอมรับนะครับว่ายังมีบางส่วนที่มักง่ายไปอ้อมเหยียบพืชไร่ของเขาแม้นจะเป็นชาวบ้านชนกลุ่มน้อย เราก็ควรเป็นลูกผู้ชายออฟโรดไปตามทางอย่าไปเบี่ยง ส่วนทาง7กม.เชิญตามสบายครับ ครูแก่ยังเคยเอาข้อเสนอของความคิดเห็นของคนออฟโรดรุ่นเก่าที่อยากให้เส้นทางเป็น15กม.เหมือนเก่า คือลัดเลาะไปตามทางข้างๆทางหลัก คู่ขนานกันไปห่างสัก500เมตร ไม่มีการตัดต้นไม้ ไปตามช่องทางเดิม(บางส่วนยังมีอยู่) ให้เด็กนักเรียนชายมาเป็นไกล้ นำเที่ยว ช่วยเหลือและเป็นหูเป็นตาควบคุมเรื่องขยะเอาออกมา ป้องกันในเรื่องต่างๆ แถมมีรายได้จากทริปนักท่องเที่ยวแบบเดียวกับที่เด็กนำเที่ยวที่บ้านอีต๋อง แล้วเส้นทาง3ก.มผ่านหมู่บ้านก็ขอความเห็นใจขาลุยไม่ได้ห้าม แต่ควรเก็บไว้ให้เป็นทางนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นที่ไม่ใช่ออฟโรดขาลุย พวกอื่นจะได้มาเที่ยวบ้าง จะได้เกิดรายได้ให้หมู่บ้าน ก็น่าจะเป็นทางอ้อมให้ชาวบ้านเลิกขยายพื้นที่ทำไร่ ป่าคริตี้ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง ถ้าหลายท่านเห็นถึงเสน่ย์มนขลังของคลี้ตี้ก็น่าช่วยให้อยู่ได้ด้วยกันได้ระหว่างอนุรักษ์กับการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ความเห็นของ ผมขอรณรงค์อย่าใช้ทาง3กม.ดีกว่าไหมครับ

จาก ห.เกาะสะเดิ่ง 58.10.228.114 พุธ, 13/12/2549 เวลา : 17:44

คำตอบที่ 21
เป็นธรรมดาของพวกอนุรักษ์ที่เป็นองค์กรNGO(ไม่ใช้อนุรักษ์ด้วยใจด้วยการกระทำอย่างพวกเราท่าน) ที่เขาต้องพึ่งที่มาของค่าใช้จ่าย เขามักที่จะไม่เลือกไปกระทบกับชาวบ้าน เพราะชาวบ้านคือฐานคือข้อต่อรองของเขา คุณมักจะเห็นว่าอะไรก็อ้างชาวบ้าน อย่างที่ผมถามครูใหญ่ ถามชาวบ้านคริตี้ เขาไม่รู้เรื่องมารู้ก็จากหนังสือพิมพ์ ที่นี้มันฉาวมาถึงพวกเรา ผมเห้นด้วยกับที่สมาพันธุ์ควรเขามาช่วย แล้วพวกเราถ้าเป็นไปได้ช่วยหาทางแก้ไข ยกตัวอย่างเช่น รวมตัวกันบรรทุกหินจากเหมืองไปถมหลุมทาง3กม.ช่วยๆกัน มีสมาพันธุ์ฯเป็นแกนกลาง ผมว่าเราก้ต่อกรในความเป็นจริงกับพวกNGOให้สังคมรับรู้ได้นะครับ อย่าไปต่อความกับเขาท่านหนังสือพิมพ์เลยครับ สื่อไม่ได้มองเรานะครับ เหมือนเราไปแก้ตัว วันนี้นสพ.ก็ลงข่าวโต้เราอีก ผมว่าเราก็ควร เข้าหาชาวบ้านช่วยเหลือตามสมควร หรือวิธีการอื่นๆที่ชาวออฟโรดเราทุกท่านก็มีความรู้มีไอเดียรอยู่แล้วครับ ถ้ารวมตัวกันทางพวกผมยินดีเข้าร่วมครับ

จาก ห.เกาะสะเดิ่ง 58.10.228.196 พฤหัสบดี, 14/12/2549 เวลา : 17:34

คำตอบที่ 24
กลุ่มที่ชอบก็บอกไม่เห็นเป็นไรเหมาะสมแล้วครับ
กลุ่มที่ไม่ชอบก็กล่าวหาว่ามุ่งทำลายทรัพยากรขยายพื้นที่หลวงไม่สะดวก

แต่ทั้ง 2 กลุ่มมักไม่ใช่คนพื้นที่แท้จริงทั้งคู่นั่นแหละ
ชาวบ้านจริงๆ ปากเสียงไม่มีหรอกได้แต่มองดู ทำตาปริบๆ
เพราะความจนและไร้เสียงต่อรอง
ผมก็เป็นหนึ่งในกลุ่มแรกที่เข้ามาแล้ว 2 ครั้ง
มันเป็นจริงทั้ง 2 ด้านนั่นแหละครับ
และเคยเห็นรั้วไม้ไผ่ของชาวบ้านตั้งอาณาเขตเป็นล่ำเป็นสันจริงๆในนั้น
ป่าสงวนของรัฐทำได้ไงครับท่านผู้ชม

จาก เคยไป 202.57.190.50 พุธ, 10/1/2550 เวลา : 16:56