คำตอบที่ 4
นำข้อมูลดีๆ มาฝากครับ
เมื่อคืนผมดูจนจบครับ แม้จะเผลอหลับไปบ้าง นับถือในจิตใจของลุงตั๋นกับเจ้าหน้าที่มาก ที่เสียสละเพื่อพิทักษ์ป่าของเรา
เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่พอมีกำลัง สามารถช่วยเหลือเค้าเหล่านี้ได้ครับ เพื่อต่ออายุป่าของพวกเรา
---------------------------------------------------
ข้าคือ... นักสื่อความหมายธรรมชาติ
อินทนนท์ในความหมายที่มากกว่ายอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศ ผืนป่ากว่า 3 แสนไร่ของอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 6 กินเนื้อที่ 3 อำเภอคือ อ.แม่แจ่ม อ.แม่วาง และ อ.จอมทอง ของจังหวัดเชียงใหม่นั้น ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรดิน น้ำ สัตว์ และป่าในเขตแดนที่แผ่กระจายเป็นรูปไข่ดาว รอบดอยที่เปรียบเสมือนไข่แดงนี้ กำลังเผชิญหน้ากับการคุกคาม และผลาญพล่าจากผู้คนทั้งใน และนอกพื้นที่ด้วยวิธีการที่ยอกย้อน ไร้ความพอดี และไม่มีทิศทางมากยิ่งขึ้นทุกวัน
ภายใต้สถานการณ์การแย่งชิง รุกทำลาย และครอบครอง ณ ทางทุกเส้นที่ทอดไปยังหมู่บ้านทุกหย่อมบ้าน ณ หมู่บ้านทุกหย่อมบ้านทั้งในเขต และนอกเขตอุทยาน ณ โรงเรียนทุกโรงเรียนที่ลูกหลานชาวบ้าน ซึ่งเป็นอนุชนคนรุ่งหลังเข้าเรียนหนังสือ ชายผู้เหลือดวงตาเพียงข้างเดียวคนหนึ่ง นาม ตั๋น มณีโต ผู้ซึ่งทั้งท่าที สีหน้า และแววตา แสนอ่อนโยน นอบน้อม และใจดี ไม่มีเค้าความเป็นอดีตสายตรวจมือฉมังแห่งอินทนนท์ ผู้ใช้ชีวิตกับป่ามา 52 ปี พร้อมกับกองทัพเล็กๆ ของเขาซึ่งมีชื่อว่า ทีมสื่อความหมายธรรมชาติ ดอยอินทนนท์ กำลังจรยุทธ์ไปทั่วทุกแห่งหน เพื่อทำหน้าที่นำสาสน์แห่งความรัก ความเข้าใจ และความห่วงใยในธรรมชาติ ดิน น้ำ สัตว์ และป่า ไปมอบให้กับทุกผู้คน อย่างทุ่มเท และมุ่งมั่น ราวไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย
คนค้นฅนอังคารนี้ จะพาท่านติดตามการทำงานของทีมสื่อความหมายธรรมชาติ ดอยอินทนนท์ หน่วยจรยุทธ์ชิงรุก ไปพบปะชาวบ้าน เพื่อทำความเข้าใจ ปลูกจิตสำนึกให้ชาวบ้านรักและหวงแหนในผืนป่า ที่เป็นทั้งแหล่งพำนักพักพิง แหล่งหาอยู่หากินของพวกเขา ที่นับวันมีแต่ถูกทำลายลง ทั้งจากความไม่รู้ไม่เข้าใจของชาวบ้าน เนื่องจากพวกเขาอยู่กับป่าผืนนี้มาชั่วลูก ชั่วหลาน ตั้งแต่ยังมิได้ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ จนทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ และชาวบ้านที่อยู่ก่อน และที่ร้ายกว่านั้นคือการเข้ามาของนายทุน มาส่งเสริมชาวบ้านให้ปลูกนั่น ปลูกนี่ สนับสนุนอย่างนั้น อย่างนี้ ราคาผลผลิตที่สูง เปรียบเหมือนลูกกวาดสีสวยที่ดึงดูดใจชาวบ้าน เมื่อหลงใหลติดใจในอำนาจเงินตราแล้ว ราคาผลผลิตที่ลดลง... การจะเพิ่มรายได้ หรือจะหาเงินมาใช้หนี้นายทุนก็มีเพียงวิธีการเดียว คือการบุกรุกถางป่า เพื่อขยายพื้นที่ทำกิน... ซึ่งนับวันยิ่งแผ่ขยายกว้างขึ้นทุกทีๆ... นี่เป็นวิธีการบุกรุกถางป่าที่แยบยล ฉ้อฉล และเห็นแก่ตัว ไม่ต้องลงไม้ลงมือเอาจอบ เอาเสียม เอารถแทรคเตอร์มาไถ่ ขุด บุกทำลาย หากแต่ใช้มือชาวบ้านเป็นผู้ลงมือ และผลกรรมตกเป็นของชาวบ้านเองที่ต้องกลายสภาพเป็นผู้ร้าย ทำลายป่า... บ้านของพวกเขาเอง
หมู่บ้านแม่นิงใน อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ หมู่บ้านกะเหรี่ยงคริสต์ไกลปืนเที่ยง คือเป้าหมายของการเดินทางในครั้งนี้ ที่บอกว่าไกลปืนเที่ยงเพราะระยะทางห่างจากอุทยานฯ เพียงประมาณ 80 กิโลเมตรเท่านั้น แต่ต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 7-8 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นลองนึกถึงสภาพเส้นทางเอาดูว่าจะเป็นอย่างไร... และยิ่งลองจินตนาการว่ายานพาหนะที่พาทีมไปนั้นไม่ใช่รถ 4WD อะไรเป็นเพียงรถกะบะเก่าๆ เวลาขับไปชิ้นส่วนแทบจะหลุดแหล่มิหลุดแหล่ ดอกยางแทบมองไม่เห็น อายุอานามของเจ้ากระป๋องกว่าค่อนศตวรรษ อาวุโสกว่าทุกคนในทีม!
พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ พวกเขาทำเพื่อใคร พวกเขาฝันที่จะเห็นอะไร ความฝันของพวกเขาเป็นไปได้หรือไม่ พวกเขามีความพร้อม และความมุ่งมั่นแค่ไหน ความมุ่งมั่นของพวกเขาเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเราที่ไม่ใช่คนเชียงใหม่ ไม่ใช่ชาวเขา ไม่ใช่นักเดินป่า หรือนักอนุรักษ์...
คนค้นฅน อังคารที่ 16 พฤศจิกายนนี้ จะบอกท่านว่า... ไม่ว่าท่านจะอยู่ภาคเหนือ หรือภาคไหน ไม่ว่าท่านจะอยู่ในป่า หรือว่าอาศัยอยู่ในเมือง ของเพียงท่านเกิดมาเป็นคน หากท่านต้องใช้น้ำ ใช้ดิน หากท่านต้องกิน ต้องดื่ม และใช้อากาศหายใจ ใช้กระแสไฟฟ้า ท่านจะพบว่า ท่านมีภารกิจมากกว่าการขบคิด หลังดูเรื่องราวชีวิตของพวกเขา
เรื่องเล่าจากราวไพร ว่าทำไมเราจึงต้องร่วมหนุนช่วยพวกเขา
ปัจจุบันทีมสื่อความหมายธรรมชาติ ดอยอินทนนท์ ได้รับการก่อตั้งอย่างเป็นทางการมีอายุอานาม 1 ขวบปีแล้ว นำทีมโดยลุงตั๋น ซึ่งทำงานที่อุทยานมาตั้งแต่เริ่มประกาศเขตอุทยานในปี 2518 ด้วยการเป็นคนงาน ค่าแรงวันละ 20 บาท ทำงานเรื่อยมาจนได้เป็นหัวหน้าชุดสายตรวจ จับปืนคุยกับชาวบ้านเรื่อยมาจนถึงปี 2535 ก็เป็นการคุยแบบใช้ใจแลกใจ
ลุงตั๋นเริ่มกิจกรรมเข้าหมู่บ้าน พบปะชาวบ้านเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของผืนป่า และลดความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชาวบ้านมาตั้งแต่ประมาณ ปี 2535 หลังจากที่ก่อนหน้านั้นลุงตั๋นเคยเป็นสายตรวจมือฉมัง ทำงานชนิดตาต่อตา ฟันต่อฟัน จับทุกคนที่เป็นผู้ต้องหาตัดไม้ทำลายป่า แม้เป็นเพียงตาแก่ที่ตัดต้นไม้ไปซ่อมบ้าน ล่าสัตว์สักตัวไปแกงกิน ก็ไม่มีการยกเว้น เพราะเคยเชื่อว่าการปราบปราบปรามจะช่วยลด และขจัดปัญหาการตัดไม้ ทำลายป่า และการฆ่าสัตว์ให้หมดไปได้ แต่ยิ่งลุงตั๋นทำงานอย่างเข้มงวดมากขึ้นเท่าไร นอกจากปัญหาจะไม่หมดไปแล้ว ความขัดแย้งกับชาวบ้านก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งวันหนึ่ง... เมื่อปี 2535 ซึ่งเป็นปีที่แล้งมาก เกิดไฟไหม้ป่าทั่วทั้งดอย ขณะออกลาดตะเวนตามปกติ ลุงตั๋นได้ยินเสียงปืน และเสียงหมาเห่า ก็ทราบทันที่ว่ามีการล่า ก็รีบรุดตามไปโดยไม่ทันรอเพื่อนร่วมงาน... กระสุนลูกปรายพุ่งเข้าเต็มหน้า เลือดอาบชุ่ม แต่กระนั้นลุงตั๋นก็ยังยิงตอบโต้กราดไปทั่วทั้งที่ตอนนั้นตามองไม่เห็นอะไรเพราะเลือดอาบไปทั้งหน้า หลังจากเพื่อนร่วมงานตามมาทัน ลุงตั๋นตั้งสติ กัดฟันเดินต่อมาได้ถึง 2 ม่อนดอย กินเวลาร่วม 2 ชั่วโมง... ร่างกายที่เสียเลือดมาก ลุงตั๋นเล่าว่าพยายามยกขาอย่างไร ก็ยกไม่ขึ้น จนเพื่อนต้องช่วยกันหามปีกออกมา... อ่อนเพลียจนเกินกว่าจะเดินต่อไปเองได้ไหวจนเพื่อนต้องหาบปีกมาจนถึงรถซึ่งทางอุทยานส่งมารับในป่ากินเวลาร่วมแล้ว 4 ชั่วโมง และกว่าจะเดินทางถึงโรงพยาบาลสวนดอกในเมืองเชียงใหม่ก็ปาเข้าไป 6 โมงเย็นแล้ว ลงุตั๋นเล่าว่าระหว่างทางเพื่อนเห็นสภาพอาการของลุงตั๋นหนักมากจึงจะตัดสินในพาลุงตั๋นส่งไปรักษาตัวฉุกเฉินที่โรงพยาบาลจอมทองก่อน แต่ลุงตั๋นรู้ว่าอาการของตัวเองหนักเกินกว่าที่โรงพยาบาลประจำอำเภอจะรับมือได้ไหว จึงแข็งใจบอกเพื่อนว่าตนยังไหวให้นำส่งที่โรงพยาบาลในเมืองเถิด
กว่าลุงตั๋นได้ผ่าตัดก็ปาเข้าไป 9 โมงเช้าของอีกวัน เพราะทางโรงพยาบาลไม่มีเลือดกรุ๊ปของลุงตั๋น จนต้องเกณฑ์นักบินจำนวน 8 คนมาให้เลือดลุงตั๋นจึงได้รับการผ่าตัด... หลังจากการผ่าตัดเอากระสุนลูกปรายที่กระจายโดนทั่วทั้งหน้าออกแล้ว แพทย์พบว่ายังมีตะกั่วลูกหนึ่งทะลวงโดนลูกนัยน์ตาข้างซ้ายแหลก... ต้องตัดสินใจควักออก แล้วใส่ตาเทียม เพราะมิฉะนั้นลูกตั๋นอาจต้องสูญเสียการมองเห็นของตาทั้งสองข้าง พอรู้ว่าต้องควักลูกตาออกลุงตั๋นก็ช็อคไปเลย จนเแพทย์ต้องสาละวนช่วยเครื่องปั๊มหัวใจ ยืดยุดชีวิตลุงตั๋นจากมัจจุราช... ลุงตั๋นเล่าว่าตอนแรกทำใจไม่ได้ที่ต้องการกลายเป็นคนพิการ คับแค้นใจว่าทำไมต้องเกิดขึ้นกับตน ทั้งๆที่ผ่านมาได้พยายามปกป้องชีวิตรักษาชีวิตสัตว์ และป่าอย่างทุ่มเทชีวิตและจิตใจตลอดมา จนเกิดเป็นความแค้น และตั้งใจว่าหายดีแล้วจะกลับไปแก้แค้นคนที่ยิง... ผมถูกยิง ถูกควักลูกตาออกข้างหนึ่ง ผมจะไปควักลูกตาคนที่ยิงผมออกทั้ง 2 ข้าง ลุงตั๋นเก็บความคิดคับแค้นนี้ไว้คนเดียวเงียบๆ
จนเมื่อความเจ็บปวดเริ่มทุเลาลง หัวเริ่มเบาขึ้น ลุงตั๋นก็เริ่มคิดถึงคำสอนของพระ ที่เคยศึกษาบวชเรียนตั้งแต่ครั้งยังเด็กว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร... ลุงตั๋นจึงคิดเลิกตาม และเกิดกระบวนการตั้งคำถามกับตัวเองว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมาถูกต้องไหม มีทางเดียวหรือที่จะรักษาป่า และสัตว์ป่าเอาไว้ได้ แล้วลุงตั๋นก็พบว่าตนน่าจะเข้าไปคุยกับชาวบ้านแบบเอาใจแลกใจ
หลังจากออกจากโรงพยาบาล เพื่อนร่วมงานต่างก็พยายามให้ลุงตั๋นได้ทำงานง่ายๆในออฟฟิศ ไม่อยากให้ออกไปทำงานสายตรวจเหมือนเคย ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย แต่ลุงตั๋นไม่อยากให้ใครมอง และรู้สึกว่าตนเป็นคนพิการ จึงยืนยันที่จะทำงานสายตรวจเช่นเดิม และจากวันนั้นมาลุงตั๋นก็ทำหน้าที่รักษาป่าเช่นเดิม... เป้าหมายยังคงเดิม เพียงแต่วิธีการ และเส้นทางสู่เป้าหมายเปลี่ยนไป...
จากการใช้ปืน และความรุนแรง เปลี่ยนเป็นการเข้าไปทำความเข้าใจกับชาวบ้าน และเด็กๆ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญ ในการสานฝันของลุงตั๋นในวันข้างหน้า... จากตอนแรกที่เข้าไป ก็ไม่มีใครคุยด้วย เพราะรู้สึกกลัว และเหมือนเป็นศัตรูต่อกัน จนถึงวันนี้กว่า 10 ปีที่ทำมาเพียงลำพัง ลุงตั๋นมีทีมงานที่แข็งแรงขึ้น ชาวบ้านให้การยอมรับ และเข้าใจในสิ่งที่ลุงตั๋นทำอยู่มากขึ้น ชาวบ้านให้ความร่วมมือมากขึ้น มีหลายผ่านเห็นและเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ลุงตั๋นทำนั้นเป็นแนวทางที่ถูกต้อง และควรจะเป็น ในการรักษาป่าให้อยู่ยั่งยืนยาวนานต่อไป...
แต่จากสภาพที่เราเห็นทีมสื่อความหมายฯ ก็ยังคงปฏิบัติภารกิจอันยิ่งใหญ่กันอย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย กับสภาพความจำกัดจำเขี่ยทั้งในเรื่องอุปกรณ์ งบประมาณ หรือแม้กระทั่งยานพาหนะ... ที่ต้องเห็นในรายการแล้วจะรู้สึกว่า
ไปได้อย่างไร ไปด้วยความรู้สึกอย่างไร
ในจำนวนทีมงาน 9 คน มีเพียง 2 คนที่มีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า คือลุงตั๋นกับพี่ศักดิ์ แต่ที่เหลือไม่ว่าจะเป็น ยะ, บอม 2 เด็กหนุ่มวัย 26 ปี จาก อ.แม่แจ่ม ที่เกิดและเติบโต เดินทางผ่านดอยแห่งนี้มาไม่รู้สักเท่าไร แต่ไม่เคยเห็นความมีชีวิตจิตใจของมันจนได้มาทำงานร่วมทีมกับลุงตั๋น และสัมผัสถึงความมีชีวิตของต้นไม้ทุกต้น ใบไม้ทุกใบ เช่นเดียวกับทีมงานคนอื่นๆ พวกเขาทุกคนเป็นเพียงลูกจ้างชั่วคราวรายวันที่มีรายได้เพียงเดือนละประมาณ 4 พันกว่าบาท กำลังทุ่มเทให้กับการทำงานอย่างสุดความสามารถ ด้วยหวังว่าวันหนึ่งจะถึงเป้าหมายที่วางไว้ แม้ทุกวันนี้... ทุกครั้งที่เข้าหมู่บ้าน พวกเขาต้องเจียดเงินกันคนละเล็กๆ ละน้อยตามแต่ใครจะมีเท่าไร เพื่อซื้อขนมไปแจกชาวบ้าน และเด็กๆ เวลาจะเข้าโรงเรียนไปสอนเรื่องเกี่ยวกับระบบนิเวศน์ให้กับเด็กๆ บางเส้นทาง หรือบางเวลาก็ต้องเอามอร์เตอร์ไซค์ส่วนตัวเข้าไป แถมบางที่ยังต้องออกค่าน้ำมันไปเองก่อนด้วยซ้ำ... รวมแล้วเดือนๆ หนึ่งก็เกือบ 1 พันบาท... แล้วแต่ว่าเดือนไหน ต้องเข้าหมู่บ้าน เข้าโรงเรียนเยอะไหม... ทำงานเยอะก็ยิ่งต้องควักกระเป๋าเยอะ...
จำนวนเงินอาจไม่มาก แต่อย่าลืมว่ามันคือ 1/ 4 ของเงินเดือน... มันคือค่าใช้จ่ายในชีวิตประวัน และครอบครัว และคนที่ต้องรับภาระนี้ที่สุดก็เห็นจะเป็นลุงตั๋น แต่แกก็ไม่เคยบ่น... ลุงตั๋นบอกว่ามันเป็นงาน... มันเป็นหน้าที่ และนอกเหนือจากนั้นคือความรู้สึกว่าสัตว์ทุกตัว ต้นไม้ทุกต้น ใบไม้ทุกใบเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ที่นับวันมีแต่คนทำลาย พวกเขาจึงต้องทุ่มเททั้งชีวิตและจิตใจเพื่อรักษาเพื่อนของพวกเขาไว้ให้อยู่อย่างยั่งยืนยาวนานชั่วลูกชั่วหลานต่อไป
พบกับการต่อสู้เพื่อรักษาธรรมชาติ สิ่งมีค่าแห่งจิตใจได้ในรายการ คนค้นฅน วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายนนี้ เวลาสี่ทุ่มตรง ทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี
ร่วมหนุนช่วยการทำงานของทีมสื่อความหมายธรรมชาติ ดอยอินทนนท์
บริจาคที่
สำนักงานศูนย์สื่อความหายธรรมชาติ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์
ต.บ้านหลวง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ โทรศัพท์ / โทรสาร (053) 268 579
หรือโอนเงินผ่านบัญชี
ชมรมเพื่อนดอยอินทนนท์ ธนาคารไทยพานิชย์ สาขาคณะแพทย์ศาสตร์ เชียงใหม่
บัญชีออมทรัพย์ หมายเลขบัญชี 5664353772
--------------------------------------------------------------------
ขอขอบคุณ http://www.mcot.net แหล่งที่มาของข้อมูลดีๆ
และขอบคุณ http://www.weekendhobby.com ที่ได้เป็นสื่อนำเสนอสิ่งดีๆ