คำตอบที่ 7
ขออนุญาตเพิ่มเติมข้อมูลนะครับ
การออกแบบระบบขับเคลื่อน 4 ล้อนั้น ก็มักบ่งบอกถึงสภาพการใช้งานที่ตั้งใจออกแบบ มาให้ใช้
เช่น
realtime มักจะใช้กับรถที่ประเภทที่ไม่ได้ลุยหนัก เช่น CRV เป็นต้น จะเปลี่ยนเป็นขับสี่ ก็ต่อเมื่อ ระบบขับเคลื่อนหน้ามีการลื่นไถล
partime มักจะใช้กับรถประเภท ทำงานหนักลุยหนัก ไม่เน้นขับเร็ว เพราะ parttime นั้นดูแลง่าย แน่นอนว่าจับแน่นอน เพราะใช้มือบิดล็อคHub. ประหยัดน้ำมันแบบชนิดเห็นจะๆ เพราะ เวลาขับ 4 ของรถ partime แบ่งกำลังหน้าหลังแบบ 50/50 เมื่อขับ 4 จะเห็นประสิทธิภาพการเกาะถนน ชัดเจนมาก และจะมีการออกแบบให้ใช้งานได้หลากหลายมากกว่า เช่น 2H,4H,2L,4L,2H with diff-lock,4H with diff-lock,2L with diff-lock,4L eith diff-lock คันเดียวใช้ระบบขับเคลื่อน ได้ 8 แบบ สุดแท้แต่สถาณะการณ์ ซึ่งผู้ขับเลือกได้ ทั้งนี้ยังไม่รวม limited slip นะ เอาแค่ option standard จากโรงงานนะ
fulltime มักจะใช้กับรถที่มีขนาดใหญ่ เพื่อการเกาะถนนที่ดี เวลาใช้ความเร็วสูง บนทางดำ และ ระบบ Fulltime มักจะไม่ได้ถ่ายทอดกำลังแบบ 50/50 แบบ Parttime แต่มักจะถ่ายทอดแบบ 30/70 หรือ 40/60 ตามแต่ว่าสังกัดไหนออกแบบมา เพราะตรงจุดนี้แหละที่ เกิดความต่างว่า รถFull time ทำเป็น Parttime แล้ว เห็นความต่างเรื่องประหยัดน้อยมาก และระบบ Full time ที่ถ่ายทอดกำลังแบบนี้ มักจะมี Diff ที่เกียร์ หรือที่เราเรียก Center Diff-lock หรือที่เราเห็นที่หัวเกียร์เป็น 4H,4HL,และ 4L เวลารถวิ่งปกติ ก็เป็น 4H พอเรารู้สึกว่าต้องการกำลังเพิ่มขึ้นก็โยกมาที่ 4HL ตอนนี้แหละที่รถมันจะแบ่งกำลังไปหน้าหลัง จากเดิม 30/70 เป็น 50/50 เหมือนพวก Parttime (ถ้าเราขับที่ระบบนี้ มันก็ซดแหลก เหมือนกับ พวก Parttime ไม่มีข้อยกเว้น) และ 4L ก็เหมือนกับ Partime เช่นกัน
ส่วนรถยี่ห้อไหนผลิตมาแบบไหน ก็สุดแท้แต่ อย่าง land cruiser รุ่นเดียวกัน มีทั้ง parttime และ Fulltime เพราะมันเป็นรถใช้ตั้งแต่ รากหญ้ายันเศรษฐี แม้แต่รถเก๋งก็มี เช่น SUBARU, EVO,CELICA,FERRARI,PORCHE และอีกหลายชนิด โดยเฉพาะรถที่ใช้แข่ง RALLY เพราะเกาะถนนดีเยี่ยม
เอาเท่านี้ก่อนนะ นึกไม่ออกแล้ว นึกได้เดี๋ยวค่อยมาเสริม ส่วนใด ผิดพลาด ขอผู้รู้ช่วยแก้ไขด้วย จะเป็นพระคุณยิ่ง