คำตอบที่ 1
       ตอบว่ายังดีที่มีของเล่นเล่นตอนเด็กมีจักรยานขี่เคยขับรถซิ่งแล้วก็มันกับออฟโรด แล้วเขาล่ะเคยทำอย่างคุณรึป่าว การมีชีวิตคือการใช้ชีวิตผมว่าคุณทำดีแล้ว

คำตอบที่ 2
       ผมว่าเป็นการฝึกทักษะนะครับ ในการแก้ไขปัญหา ถ้าเราไม่ทำก็ไม่รู้ว่าอะไรจะพังหรือไม่ก็รู้เมื่อมันพังไปแล้ว แล้วอีกอย่าง off road ยิ่งแต่งยิ่งขับได้ไกล(ไปไหนก็ได้) รถซิ่งยิ่งแต่งยิ่งวิ่งไปไหนไม่ได้ บางทีบ้านตัวเองก็เข้าไม่ได้(น้ำท่วม) แต่ผมก็ไม่ได้ว่า ว่าอะไรดีอะไรไม่ดีนะครับ มันเป็นความชอบส่วนตัว บางคนยังมีรถโหลดไว้ขับในเมืองคันนึง off road ไว้เที่ยวป่าคันนึง ยังมีเลยครับ ยังงัยก็ขอให้เคารพกฎในการใช้รถใช้ถนนก็พอแล้วครับ

คำตอบที่ 3
       ผมเห็นด้วยครับกับการฝึกทักษะ แต่มองอีกมุมหนึ่งก็คือทำไมต้องไปฝึกกับธรรมชาติหละครับ ทำไมไม่หาสนามหรือสถานที่ๆ มีไว้เพื่อการฝึกฝนทักษะ อย่างงี้พวกท่านก็ไม่แตกต่างกับเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ที่ใช้ถนนหลวงเป็นที่ประลองความเร็วแทนที่จะไปลองกันในสนามแข่ง แล้วปากก็บอกว่ารักธรรมชาติ รักการผจญภัย แต่แท้ที่จริงแล้วมันคือการทำลายหรือเปล่าครับ

คำตอบที่ 4
       ก็น่าคิดครับ แต่ทางที่ผมไปกันก็เป็นทางที่ให้รถวิ่งอยู่แล้วครับ เขาให้ไปได้แค่ไหนเราก็ไปแค่นั้นที่เหลือเดินเอา
พวกเราคิดว่ายังงัยครับกับประเด็นนี้ ช่วยออกความคิดเห็นกันหน่อยครับ

คำตอบที่ 5
       จริงๆ แล้วไม่อยากให้รถพังหรอก...
มันพังเองอะ ไม่ต้องการให้พังเลยจริงๆ...
ก็คนอยากเที่ยว อยากชมธรรมชาติ แบบรถเข้าถึงได้ แค่นี้จบ...

คำตอบที่ 6
       ผมอยากให้ทุกคนช่วยมีจิตสำนึกถนอมทางและถนอมรถ เพราะว่าผมอยากให้คนรุ่นหลังก็สามารถเข้าไปเสพความงามของธรรมชาติเช่นเดียวกับเรา ไม่ใช่ว่าการเข้าไปของพวกเรานั้นทำให้ เกิดความลำบากของคนต่อๆ ไป ช่วยกันถนอมธรรมชาติกันหน่อยครับ ด้วยความนับถือชาวออพโรดทุก ๆ คน ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนไม่มีเจตนา เพียงแต่กระแสมาแรง เลยอาจจะทำให้พวกเรานั้นปรับตัวไม่ทัน ดังนั้นทุกทริปของการเดินทาง หากว่าเราทำการบ้านให้ดี ศึกษาถึงผลกระทบจากการเข้าไป หาวิธีทางที่จะทำให้เกิดการทำลายธรรมชาติน้อยที่สุด เท่านี้ผมว่า การท่องเที่ยวรูปแบบนี้ก็จะดำรงไว้ให้ถึงรุ่นลูกและหลาน และต่อ ๆ ไปครับ

คำตอบที่ 7
       มาอีกแล้วครับท่าน...สงสัยคงต้องขัดแย้งด้านความคืดกันอีกแล้วผมว่าเดือน ธ.ค.เป็นเดือนของพ่อหลวงขจองน่ะอย่าเพิ่งโพสต์อะไรทำนองนี้ออกมาดีกว่าเดี๋ยวจะแย้งกันไปกันมาจนจบยากอีกตามเคย

คำตอบที่ 8
       มาอีกแล้วครับท่าน...สงสัยคงต้องขัดแย้งด้านความคืดกันอีกแล้วผมว่าเดือน ธ.ค.เป็นเดือนของพ่อหลวงขจองน่ะอย่าเพิ่งโพสต์อะไรทำนองนี้ออกมาดีกว่าเดี๋ยวจะแย้งกันไปกันมาจนจบยากอีกตามเคย

คำตอบที่ 9
       ประเด็นนี้มีมานานแล้วครับ ผมว่าสังคมชาวออฟโรดก็มีคนหลายประเภทด้วยกัน ต่างจิตต่างใจ นานาทัศนะ คนที่ทำให้ชื่อเสียงชาวออฟโรดก็มี ชาวบ้านเค้าไม่นู้หรอกครับว่าใครเป็นใคร เห็นรถมันสูงๆ ขับตะลุยเข้าไปแล้วก็ทิ้งขยะไว้เกลื่อนไปหมด นี่คือภาพที่พวกเค้าเคยพบเห็นกัน บางพวกก็เข้าล่าสัตว์ก็มี ส่วนพวกที่เที่ยวแบบอนุรักษ์ก็พยามยามแก้ไขภาพพจน์ไปเถอะ น่าลำบากใจ ผมว่าสื่อต่างๆต้องช่วยกันหน่อย บางที่เราไปช่วยแจกของน้ำท่วม ช่วยนำสิ่งของไปมอบให้ตามโรงเรียนไม่เห็นช่วยออกข่าว นี่แหละครับ มันเป็นกันอย่างนี้แหละ
พวกดีก็อย่าท้อแท้ครับ ทำสิ่งดีเพื่อชาวเราต่อไปเถอะ
ทุกวันนี้พวกผมก็เที่ยวที่เป็นเส้นทางรถ ไม่ใช่ไปเปิดเส้นทางใหม่ หรือทำลายเส้นทางที่ชาวบ้านเค้าใช้ร่วมด้วยครับ

คำตอบที่ 10
       ขอโทษครับ ผมตั้งกระทู้เพราะว่าเพื่อนๆ พี่ๆนอ้งๆ ผม มันเอาแต่ว่าผมว่าผมชอบเอารถผมไปพังเล่น ผมหมายถึงรถผมเองนะครับไม่ได้นึกไปไกลถึงสิ่งแวดล้อม เอ็นจีโอหรืออะไรทำนองนั้นครับ ผมว่าผลกระทบที่พวกเรามีนั้นน้อยมากจริงๆนะครับ มันจะกลับคืนสภาพได้ในเวลาไม่นานและเราก็ไม่ได้ โหยทำอะไรให้มันเวอร์ ถึงอยากจะทำไอ้รถสี่ล้อโย่งๆ หก เจ็ด แปดคัน มันทำอะไร กับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่บ่ ได้มากดอก โน่น ไอ้พวกตัดไม้ ทำน้ำมันหก ในทะเลโนน่ปะไร .....ตดวัวยังทำอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าอีก (พูดเล่นนะครับ ฮ่าๆ) คือว่าผมตั้งใจจะถามความเห็นเพื่อนๆระบายออกมาเท่านั้นครับ ขอจบกระทู้นะครับป้องกันความขัดแย้งคับ หนุ่มเหลือน้อยร้อยหกสิบเอ็ด

คำตอบที่ 11
       ผมยอมรับว่าการขับoff road เข้าไปในป่าส่วนหนึ่งก็เป็นการทำลายธรรมชาติบ้าง แต่.... ทุกอย่างก็มีทั้งด้านดีและเสีย การที่ป่าไหนมีคนเข้าไปท่องเที่ยว ผมว่าป่านั้นจะคงสภาพป่าอยู่ได้ เพราะพวกตัดไม้หรือพวกล่าสัตว์จะไม่กล้าเข้าไปทำลายป่า (พวกทำผิดกฏหมายย่อมไม่ต้องการให้ใครเห็นหรืออยากทำในที่ที่มีคนเข้าออกตลอดแน่นอน)
อีกส่วนหนึ่งก็ยังเป็นรายได้เข้าไปให้ชุมชนที่อยู่ละแวกนั้นด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของแต่ละคนด้วยและครับ พยายามอย่าเปิดเส้นทางใหม่หรือดันทุรังไปในเส้นทางที่ไม่ได้เป็นทางเปิด พยามยามเข้าไปด้วยจำนวนรถและคนที่น้อยที่สุด(แต่ต้องไม่น้อยจนเสี่ยงอันตราย) บางทีผมเห็นเข้าไปกันทีหลายสิบคันผมว่าค่อนข้างจะมากไปสักนิดโอกาสที่จะทำลายสิ่งแวดล้อมย่อมสูงตามด้วย

คำตอบที่ 12
       เห็นด้วยกับคุณ falcon ในคำตอบที่ 11 ครับ ร่วมด้วยช่วยกันครับ

คำตอบที่ 13
       อืมม...ผมก็เห็นด้วยกับคุณ Falcon เหมือนกัน...บางทีหลาย ๆ คนก็ทำตามแบบทที่บอกนั่นแหละ...แต่เวลาอธิบายเป็นตัวหนังสือ มันคิดไม่ออกจริง ๆ ...งั้นกระทู้นี้ก็ควรจะเอวัง ด้วยประมาระฉะนี้...เนอะ Happy Ending

คำตอบที่ 14
       ผมขอถามอะไรหน่อยนะครับ ช่วยกันตอบหน่อยครับว่าคิดกันยังไง ผมขอถามว่า….ที่ท่องเที่ยวแบบธรรมชาติที่ต่างๆที่มีถนนดำเข้าถึงโดยสะดวกเนี่ย มีที่ไหนที่สภาพธรรมชาติยังบริสุทธิ์ เป็นธรรมชาติอย่างแท้จริงเหมือนสถานที่ที่พวกเราเข้าไปด้วยความยากลำบากบ้างครับ ผมยังไม่เคยเห็นเลย แต่ที่ไหนมีถนนดำเข้าถึง ที่นั่นต้องมีพวก “โป๊ง โป๊ง ชึ่ง” เข้ามาด้วยเสมอ แล้วขยะก็บานพะเลอเกวียน เดินไปตรงไหนก็มีแต่ถุงขนมขบเคี้ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระป๋องเบียร์นี่เจอตลอด ทิ้ง(แม่ง)ทั่วไปหมด ทำไมมีปัญญาซื้อกิน(แดก) แต่ไม่มีปัญญาทิ้งให้ถูกที่ ผมขอระบายหน่อยนะครับ ไอ้พวกที่มีพฤติกรรมแบบนี้ แถวบ้านผมเรียกว่า “อัปรีย์มนุษย์” แล้วที่พวกผมต้องการสัมผัสความเป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง จึงสรรหายานพาหนะที่เข้าถึงธรรมชาติที่แท้จริงได้โดยที่ไม่มีเศษขยะกับเสียงแหกปากของไอ้พวก “อัปรีย์มนุษย์” มาเกี่ยวข้องนี่ พวกผมผิดด้วยเหรอครับ โดนกล่าวหาว่าร้ายว่าทำลายธรรมชาติงี๊ พวกผมน้อยใจมานานแล้ว ตัวผมเนี่ย อยากเจอนัก ไอ้คนที่ว่าพวกออฟโรดทำลายธรรมชาต อยากเจอที่สุด แต่ก็ไม่เห็นมีใครมาพูดตรงๆซึ่งๆหน้าซักคน มีแต่พวกลอบกัดลับหลัง ถ้ามี ผมจะขอตั้งคำถามตัวอย่างให้เปรียบเทียบดูว่า ถ้านำตกผาสวรรค์บนเป็นทางโคลน(เหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้) แล้วน้ำตกผาสวรรค์ล่าง เป็นทางลาดยาง รถเข้าถึงได้โดยสะดวก คุณ(ผู้มีอคติ)คิดว่า อันไหนมันจะ “ชิบหาย” ก่อนกัน !! ผมต้องการคำตอบจากปากของคุณครับ