คำตอบที่ 10
พระปิดตาหลวงพ่อครน วัดบางแซะ ประเทศมาเลเซีย
ที่................ประเทศมาเลเซีย พระปิดตาหลวงพ่อครนวัดบางแซะโด่งดังมาก ชาวมาเลเซียใครมีก้อต่างหวงแหน ถึงแม้จะมีใครมาเสนอ " เงินตรา " มากมายเพียงใดเขาก้อไม่สน !!!!!!
หลายท่านคงสงสัยว่า ทำไมวัดไทยที่อยู่ในรัฐมาเลเซีย ถึงได้สร้างพระเครื่องในเมื่อชาวมาเลเซียส่วนมากเป็นชนชาวมุสลืม แต่ถึงอย่างไรก้อตามที่ประเทศมาเลเซียก้อนิยมวิชาไสยเวทย์กันส่วนมาก
และประเทศใกล้บ้านเรือนเคียงของประเทศไทยเรา ตั้งแต่ดั้งเดิมนั้นกลันตัน ตรังกานู ปาทังไทยบุรี ฯลฯ เคยเป็นดินแดนของไทยเรา แต่เพิ่งจะมาสูญเสียดินแดนแห่งนี้ จากพวกนักล่าอาณานิคมชาวอังกฤษ เมื่อตอนปี 2452
ตามประวัติแล้ววัดอุตตมาราม หรือเดิมทีเดียวเรียกกันว่าวัดบางแซะ ตั้งอยู่ในตำบลบางแซะ อำเภอปาเซมัน จังหวัดโกตาบารู รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ สันนิษฐานว่าคงสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง ถ้าจะประมาณอายุของวัดนี้คงจะไม่ต่ำกว่า 400 กว่าปีเศษ.......
สำหรับสมภารในอดีต ไม่อาจจะสืบทราบได้แน่ชัด เท่าที่ทราบก้อตอนสมัยที่หลวงพ่อโล๊ะ ซึ่งตอนนั้นเป็นเจ้าอาวาสอยู่นั้นหลวงพ่อครนเพิ่งจะมีอายุได้ 12 ขวบเท่านั้น ในสมัยยุคหลวงพ่อครน เป็นเจ้าอาวาส ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ จอมขมังเวทย์ ขนาดประมุขของประเทศมาเลเซียที่นับถือศาสนาอิสลาม ยังให้ความเคารพนับถือท่านตลอดมา และถึงแม้หลวงพ่อครนจะเป็นพระที่อยู่ในต่างประเทศ แต่ก้อได้พระราชทาน สมณศักดิ์เป็นถึง พระราชาคณะที่พระวิจารณญาณบุรี
ประวัติหลวงพ่อครน
หลวงพ่อครน เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี แรม 1 ค่ำ เดือน 12 ปีชวด พ.ศ. 2419 บิดามีนามว่านายชุม มารดามีนามว่า นางแก้ว นามสกุล ราษฎร์เจริญ พื้นเพเดิมเป็นชาวบางแซะ ประกอบอาชีพทำไร่ไถนา พออายุได้ 12 ปี บิดามารดาได้นำไปฝากเรียนหนังสือกับหลวงพ่อโล๊ะ เจ้าอาวาสวัดบางแซะ พออ่านออกเขียนได้จึงได้หัดเรียนภาษาบาลี บทสวดมนต์ โดยวิธีต่อตัวหนังสือ คือการบอกด้วยปากเปล่าที่ละวรรคทีละตอน อ้วยอุปนิสัยของท่านมีใจรักในด้านการศาสนามาตั้งแต่อยู่ในวัยเด็ก เป็นเด็กที่มีกิริยาเรียบร้อยรักสงบ จึงสมัครในอยู่ปรนนิบัติพระอาจารย์ช่วยกิจการงานภายในวัดจนกระทั่งเข้าวัยหนุ่มอายุครบบวช จึงได้ทำการบรรพชาอุปสมบท เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2439 ณ พัทธสีมา วัดอุตตมาราม (บางแซะ) โดยมีพระปลัดไชย วัดใหม่เขาดิน เป็นพระอุปัชฌายะ พระครูโอภาสพุทธคุณ วัดบ้านใน อ.ตุ้มปิด รัฐกลันตัน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พะรอธิการพุฒวัดบางตะหวา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ได้รับฉายานามจากพระ อุปัชฌาย์ตั้งให้ว่า ปณฺณสุวรฺโณ
เมื่อบวชแล้วได้อยู่จำพรรษา ณ วัดอุตตมาราม ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยและปฎิบัติอุปัชฌาย์จารย์เป็นระยะเวลา 2 พรรษา จึงได้กราบลาอาจารย์เดินทางมาศึกษาปริยัติธรรมและบาลีในจังหวัดสงขลา และได้อยู่จำพรรษาที่วัดหัวป้อมในอำเภอเมืองจังหวัดสงขลา
เมื่อท่านเรียนในด้านปริยัติจนเป็นที่พออกพอใจแล้ว จึงได้หันมาศึกษาในด้านวิปัสสนากรรมฐาน
ในสมัยนั้นที่จังหวัดสงขลาก็มีพระคณาจารย์ที่เชี่ยวชาญในด้านกรรมฐานอยู่หลายองค์ ท่านจึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์อยู่ศึกษาปฎิบัติจนเกิดความชำนาญ
ต่อมาท่านได้เดืนทางมาศึกษาวิชาอาคมจาก หลวงพ่อปาน วัดโคกสมานคุณ สงขลา
อันว่าหลวงพ่อปานองค์นี้ ตามประวัติท่านเป็นพระที่มีเวทย์มนต์ขลัง สามารภผูกหุ่นพยนต์ ย่นระยะทางได้ คาถามหางงงงวย หากใครโดนสะกดจะต้องเดินหลงทางอยู่ ณ ที่นั้น เป็นเวลาแรมเดือนก้อไม่สามารถออกจากที่แห่งนั้นได้
ท่านได้อยู่ร่ำเรียน วิชากับหลวงพ่อปานจนหมดสิ้น ไม่ว่าใครก้อตามหากได้มาเรียนวิชากับหลวงพ่อปานแล้ว ท่านก้อจะมีการทดสอบ หากใช้ไม่ได้ผล ท่านก้อจะเรียกมาฝึกสอนให้อีก
หลังจากที่หลวงพ่อครน ได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมแล้วท่านก้อออกเดินธุดงค์รุกขมูลไปในป่าใหญ่ จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่ท่านกำลังปักกลดอยู่ในป่า ได้มีช้างและเสือร้าย ส่งเสียงคำรามอยู่ในบริเวณรอบกลด ของท่าน แต่ท่านก้อมิได้เกิดอาการหวั่นวิตกแต่ประการใด คงนั่งท่าสมาธิ เจริญภาวนาพระคาถาที่ได้รั่ำเรียนมาจากหลวงพ่อปาน จนกระทั่งสัตว์ร้ายทั้งสองอันตรธานหายไปสิ้น เมื่อหลวงพ่อปานเข้าสมาธิตรวจดูจึงรู้ว่าลูกศิษย์ของท่านสามารถแก้วิชาหุ่นพยนต์ของท่านได้ ต่อมาหลังจากที่หลวงพ่อครนเดินทางมาหาท่านก้อได้ถ่ายทอดวิชาผูกหุ่นพยนต์ให้ พร้อมกับเล่าให้ฟังว่าในคืนที่ท่านผจญสัตว์ร้ายนั้นเป็นหุ่นพยนต์ของท่านที่ปล่อยออกไปเพื่อทดสอบสภาวจิตและเวทย์มนต์คาถาที่สอนให้ว่าจะใช้ได้ผลหรือไม่จึงต้องทดสอบกัน
หลังจากนั้นหลวงพ่อปานก้อได้ถ่ายทอดวิชาเสกของใหญ่ให้เป็นของเล็ก เช่น เสกช้างตกมันตัวใหญ่ให้มีขนาดเล็กลงขนาดใช้กะลามะพร้าวครอบเอาไว้ได้ซึ่งวิชานี่้หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าและ หลวงพ่อเดิมวัดหนองโพ ก้อเชี่ยวชาญในวิชานี้เช่นกัน
หลังจากที่ได้ศึกษาถ่ายทอดวิชาอาคมจากหลวงพ่อปานจนหมดไส้หมดพุงแล้ว หลวงพ่อครนจึงได้เดืนทางเข้าสู่จังหวัดนราธิวาสโดยมุ่งหน้าสู่อำเภอตากใบ เพื่อจะไปขอร่ำเรียนวิชากับ ท่านพ่ออินทร์ เพราะท่านพ่ออินทร์องค์นี้เก่งกล้าในด้านวิชาไสยเวทย์ เช่น แก้คุณไสย์จากคนที่ถูกกระทำย่ำยีและถูกผีเจ้าเข้าสิง สิ่งเหล่านี้เป็นต้น เพราะในเขตนราธิวาสนั้น เป็นถิ่นฐานที่มีชาวมุสลิมมาก
ปกติวิชาคุณไสย์ของชาวมุสลิมนั้น หากใครโดนเข้าไปแล้วยากที่จะแก้ไข ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่าโดนของแขก
เนื่องจากหมอผีพวกแขกนั้นมีวิชาแก่กล้านัก พวกนี้จะคอยปล่อยของออกอาละวาดในหมู่ชนชาวพุทธที่อยู่ในระแวกนั้นเสมอ
ท่านพ่ออินทร์ต้องกำราบอยู่ตลอดมา
เมื่อหลวงพ่อครน เดินทางมาขอเรียนวิชาจากท่าน ๆ ก้อมิได้รังเกียจ ยินดีแนะนำสั่งสอนให้ด้วยความเต็มใจ เมื่อหลวงพ่ออินทร์ได้ถ่ายทอดวิชาอาคมให้แล้วท่านได้กำชับหลวงพ่อครนให้ช่วยกันปราบบรรดาหมอผีชาวมุสลิม ที่ชอบปล่อยของ ปล่อยคุณไสยมารังควานชาวพุทธในย่านนั้น ซึ่งหลวงพ่อครนก้อยินดีที่จะแบ่งเบาภาระให้ และเป็นการทดสอบวิชาไปในตัวด้วย วันหนึ่งขณะที่ท่านลงอุโบสถทำวัตรเย็นเสร็จ ก้อเดินกลับมาที่กุฎิ เพื่อเข้าฌาน เพื่อตรวจดูว่าใครบ้างที่ถูกหมอผีชาวมุสลิมกระทำไว้บ้าง
ในขณะที่ท่านกำลังเจริญวิปัสสนาอยู่นั้น ฉับพลันก้อได้กลิ่นซากศพเหม็นเน่าอย่างรุนแรง พร้อมกันนั้นก้อปรากฎภูติร้าย มีร่างกายเน่าเฟะ กำลังมุ่งตรงมาอย่างประสงค์ร้าย หมายจะบีบคอท่าน แต่พอเข้ามาใกล้ท่านก้อยกเอาคฑากายสิทธิ์ขึ้น ภวนาด้วยคาถา และฟาดตรงไปยังร่างเจ้าภูตร้ายตนนั้น มันถึงกับผงะ แผดเสียงร้องอย่างโหยหวล หายวับไปกับตา !!!!!
ประมาณ ปี พ.ศ. 2450 หลวงพ่อครน ท่านได้เดินธุดงค์กลับมาจังหวัดสงขลาในขณะที่ท่านเดินทางมาถึงเมืองบ่อยางก้อเป็นเวลาพลบค่ำ ท่านจังปักกลดพักอาศัยอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก ชาวบ้านในระแวกนั้นรู้ว่ามีพระภิกษุมาปักกลดจึงออกจากบ้านเข้าไปกราบนมัสการ และได้เล่าว่าเมื่อประมาณ สองเดือนที่ผ่านมา มีพระภิกษุรูปหนึ่งมาปักกลดที่ท้ายหมู่บ้าน
พระภิกษุหนุ่มองค์นี้มีเวทย์มนต์คาถาเก่งกล้า แต่ใช้ไม่ถูกต้องคือน้ำเวทย์มนต์ที่ได้ร่ำเรียนมามาใช้รังแกชาวบ้านและมีนิสัยมุทะลุดุร้ายไม่สมกับอยู่ในเพศสมณะ ชอบปล่อยภูติผี คุณไสยออกมารังควานชาวบ้านจนเป็นที่เดือดร้อนจึงต้องขอให้หลวงพ่อช่วยกำหลาบให้ด้วยเถิดนะครับ
พอหลวงพ่อได้ยินดังนั้น ก้อบอกกับชาวบ้านว่า "เหตุที่อาตมา มาปักกลด ณ ที่แห่งนี้ก้อเพราะได้ทราบข่าวจึงแวะมาเพื่อจะพูดคุยกับพระภิกษุรูปนั้น" เมื่อชาวบ้านได้ยินดังนั้นก้อพากันนมัสการลากลับด้วยความปิติยินดียิ่งนัก..........
.......... ในคืนนั้น............
หลังจากที่หลวงพ่อครนสวดมนต์ทำวัตรเสร็จก้อเข้าวิปัสนาเจริญภวนา ฉับพลันนั้นเองก้อมีเสียงคล้ายวัตถุหนักๆตกลงบนกลดของท่าน แต่ก้อมิได้สนใจคงนั่งเจริญภวนาอยู่ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่ เสียงนั้นก้ยังดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ
ปกติแล้วหลวงพ่อครนก่อนที่ทำการปักกลดท่าน ท่านจะต้องว่า พระคาถาเกราะเพชรก่อนปัก เพราะสามารถจะป้องกันคุณไสยต่างๆที่เขาปล่อยออกมาทำร้ายและในคืนนั้นก้อว่าพระคาถานี้ก่อนปักกลด
ด้วยวิชาอาคมของท่านเข้มขลังกว่าของฝ่ายตรงข้ามของที่ถูกปล่อยออกมาจึงไม่สามารถวิ่งเข้าไปทำร้ายท่านได้ เมื่อปล่อยออกมาเท่าไหร่มันจะตกอยู่ที่กลดอย่างนั้น......
จนกระทั่งตกดึก ท่านจึงได้พิจารณาว่าหากขืนปล่อยอยู่อย่างนี้พระภิกษุองค์นั้นจะย่ามใจเพราะมัวเมาในมิจฉาทิฐิของตัวเอง จำจะต้องกำราบเสียบ้างจะได้กลับเนื้อกลับตัวเป็นภิกษุที่ดีในพระศาสนาต่อไป เมื่อคิดดังนี้แล้วท่านจึงเอาคฑากายสิทธิ์ออกจากย่ามพร้อมกับภาวนาพระคาถาเป่าพรวดลงไปที่คฑานั่น ฉับพลันนั้นเอง.... คฑาของท่านก้อกลายร่างเป็นงูร้ายเคลื่อนไหวได้ พุ่งตัวออกจากกลดไปดุจลูกธนูออกจากคันศร ตรงไปยังกลดพระภิกษุที่ปักอยู่ท้ายหมู่บ้าน พระภิกษุซึ่งได้แต่เรียนวิชาปล่อยของออกไปทำร้ายเขาได้ แต่มิได้เรียนวิชาแก้เอาไว้พอเจ้างูร้ายเลื้อยเข้ามาในกลดก้อไม่สามารถจะแก้ไขได้ ถูกฉกกัดไปทั่วร่างกายได้รับความเจ็บปวดอย่างยิ่ง เมื่อเจ้างูร้ายกัดจนเป็นที่พอใจมันแล้วก้อเลื้อยกลับมายังกลดของหลวงพ่อครน กลับกลายร่างมาเป็นคฑาตามเดิม
พอรุ่งเช้าพระภิกษุรูปนั้นได้เดินเข้ามาหาหลวงพ่อ และได้กราบขอขมาลาโทษท่าน พร้อมกับขอฝากเนื้อฝากตัวเป็นศิษย์และขอกลับตัวเป็นคนดีจะไม่ประกอบกรรมทำชั่วอีกต่อไปพร้อมกันนี้ก้อขอให้หลวงพ่อถอนพิษงูร้ายให้ด้วย ท่านก้อมิได้ว่าอะไรคงนั่งสงบนิ่ง และช่วยปัดเป่าขจัดพิษร้ายให้หลังจากนั้นท่านก้อได้อบรมสั่งสอนพระภิกษุรูปนั้นให้อยู่ในศีลธรรมอันดีงามพระองค์นั้นก้อรับปากและจะขอติดตามท่านไปด้วย แต่ท่านก้อปฎิเสธเพราะท่านบอกว่าอาตมาชอบที่จะบำเพ็ญเพียรอยู่ตามลำพังแบบสันโดษ.............
กรรมวิธีการสร้างพระปิดตา
ท่านได้รวบรวมผงที่ลบสูตรต่างๆไว้มากมาย และได้นำว่านต่างๆที่พบในป่าตอนธุดงค์นำมาโขลกตำผสมกันโดยใช้รักน้ำเกลี้ยงเป็นตัวประสานพระ พระแต่ละองค์ท่านใช้ปั้นด้วยมือ ฉะนั้นจึงมีขนาดไม่เท่ากันและพิมพ์ทรงก้อแตกต่างกันออกไปเล็กน้อย
เอกลักษณ์พระปิดตาของท่าน ทรงชะลูดเข่ากว้างนั่งหลังค่อม รูปทรง งดงามมาก และจะมีจารอักขระขอมไว้ที่ด้านหลังทุกองค์ ลางองค์ก้อจารที่ด้านหน้าก้อมี เนื้อออกสีน้ำตาลไหม้และดำสนิท
เมื่อท่านสร้างขึ้นพอจำนวนก้อจัดพิธีปลุกเสกตำราโบราณ คิอจัดหัวหมูบายศรีเครื่องหอมต่างๆ สังเวย แล้วเอาพระทั้งหมดใส่ลงในขันลงหิน เทน้ำมันงาจนท่วมองค์พระ ท่านนั่งบริกรรมคาถาปลุกเสก จนน้ำมันงาในขันเดือด และน้ำมันงาค่อยๆลดลงจนแห้งไปเอง พอน้ำมันงาแห้งดีแล้วท่านก้อนั่งบริกรรมาอยู่สักครู่ พระปิดตาในขันก้อลุกขึ้นนั่ง ท่านจึงหยิบออกมาวางไว้ทีละองค์จนครบทุกองค์ ซึ่งการประกอบพิธีนี้มีลูกศิษย์นั่งดูตลอดเวลา นับว่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก
ด้วยเหตุนี้เองพระปิดตาของท่านจึงมีศิษยานุศิษย์แสวงหากัน
เชษฐ สุวรรณภูมิ