มิตรภาพไร้พรมแดน
ตอน.
แดงจ๋าแดงจ่า
ตราด 19-21พ.ย. 47
มาอ่านคนที่
ผู้ร่วมทริพ 1.ชนบท 2.พี่ซิง 3.พี่เปี๊ยก 4.คุณดร 5.คุณเคี้ยง 6.พี่รวยโชค 7.คุณดำเกิง 8.คุณเลาะ 9.คุณใหญ่เกษตร
ค่ำคืนหนึ่งบนถนนสายเพชรเกษม คนตกปลากลุ่มหนึ่งกำลังตะลอนออกเดินทางด้วยรถตู้
จากกรุงเทพมหานครมุ่งหน้าสู่จังหวัดระนอง เพื่อที่จะไปลงเรือตกปลากับเรือลำใหม่
ที่ชื่อว่า 'โชคอนุรัตน์' โดยมี ไต๋นุ ซึ่งก็ถือว่ายังเป็นไต๋มือใหม่ ที่หันมายึดอาชีพให้บริการเรือตกปลา
ซึ่งในย่านเมืองระนองมีเรือให้บริการนักตกปลาอย่างเราๆ ท่านๆ อยู่เพียงไม่กี่ลำ
แม้จะเป็นเรือใหม่ อีกทั้งไต๋เรือก็ยังเป็นมือใหม่อยู่ก็จริง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมจะขอนำมาเล่าสู่ท่านในครั้งนี้
มันเป็นสิ่งที่พวกเราประทับใจที่ได้ไปพบ ได้ไปประสบมา ผมจึงขอถือโอกาส แนะนำ
เรือโชคอนุรัตน์ จังหวัดระนอง ให้กับ ฟ.แฟนโลกกว้างได้รู้จัก อีกลำหนึ่ง
อรุณรุ่งที่เมืองระนอง
2
ทุ่มเศษ รถตู้ของพี่กอล์ฟ ล้อเริ่มหมุน เป็นการเริ่มต้นการเดินทางที่แสนจะยาวไกล
หลายร้อยกิโลเมตร จากกรุงเทพ ถึงจังหวัดระนอง ตอนเช้ามืด ตลอดเส้นทางที่นั่งหลับนก
สัปหงก มาทั้งคืน ทำให้กระดูกกระเดี้ยว ปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว พอรถจอดที่หน้าตลาดเมืองระนอง
สายตาที่สะลึมสะลือ เพ่งออกไปมองภาพผู้คนที่กำลังง้วนกับกับจับจ่าย ข้าวของในตลาด
"ถึงระนองแล้วเหรอ ว้าว ไชโย ตื่นๆ ออกไปหากาแฟกินรองท้องกันดีกว่า"
ผมปลุกสมาชิกที่นั่งหลับอยู่ในรถ ให้ตื่นขึ้นมาขยับแข้งขยับขาไล่ความเมื่อยล้า
ออกไปจากกล้ามเนื้อ สองขา ก้าวลงจากรถ แล้วย่างเท้าเดินไปนั่ง จุ่มปุก บนเก้าอี้ทรงกลม
ข้างร้านขายกาแฟ พื้นเมืองในตลาดสด "ขอกาแฟ ร้อนๆ มาซดสัก 4 แก้ว ชาร้อนอีก
3 แก้วด้วยครับ" ระหว่างที่รอนายเก๋ ผู้ดูแล เรือโชคอนุรัตน์ มารับ
เราก็ถือโอกาส แวะซดกาแฟ กันสะเลย ไม่นานนัก นายเก๋ ก็ ควบรถมอเตอร์ไซร์วิบาก
มาถึง "สวัสดีครับ พี่โย มาถึงกันแต่เช้ามืดเลยนะครับ เดี๋ยวนี่ผมต้องไปรับพี่รวยโชคที่โรงแรมอีก
พี่แกสั่งไว้ถ้าพี่โยมาถึงให้ไปปลุกแกด้วยป่านนี้ พี่รวย ตื่นรึยังก็ไม่รู้
สงสัยต้องไปปลุก พี่รวยมาถึงระนองตั้งแต่เมื่อวานแล้วพี่ เดี๋ยวพี่ไปทานข้าวเช้าที่บ้านนะ
เตี่ย ทำกับข้าวไว้เยอะ" นายเก๋มาถึงก็ไม่พูดพลามทำเพลง ร่ายออกมาสะ
ยาวยืด ทำเอาคนฟังอ้าปากหวอ เพราะฟังแทบจะไม่ทัน "โห้ยยย เจ้าเก๋ ค่อยๆ
พูดค่อยๆ จา ดิ พี่ฟังไม่ทัน วุ้ย" ผมเปรยออกมา พร้อมด้วยอารมณ์ขันในท่าทางของเจ้าเก๋
อาหารเช้าที่บ้านเตี่ยสำเนา พ่อตาเจ้าเก๋ ทำไว้ต้อนรับพวกเรา โดยเฉพาะน้ำพริกกุ้งสด
รสเด็ดสะระตี่ กินไปต้อง สะอื่นไป น้ำตาเล็ดไหลออกมา ต้องใช้มือป่ายเช็ดน้ำหูน้ำตา
อยู่ตลอดเวลา ก็เพราะมันเผ็ดมากนะซิขอรับ แต่มันก็อร่อยมาก รสชาติแบบนี้หาทานที่ไหนไม่ได้
สู่เกาะสุรินทร์ ยามบ่าย
จากบ้านเตี่ยสำเนา
สู่ท่าเรือด่านประตูสู่เกาะสองประเทศพม่า เรือโชคอนุรัตน์จอดลอยลำอยู่กลางลำน้ำ
เพราะว่ามันเป็นช่วงที่น้ำลดลงมากเหลือเกิน เราต้องเช่าเรือหางยาวจากฝั่งขนข้าวขนของ
ไปถ่ายลงเรือโชคอนุรัตน์อีกทอดหนึ่ง เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างลงตัวพร้อมที่จะเดินทางกันแล้ว
ไต๋นุก็บังคับเรือ มุ่งหน้าสู่ท้องทะเลลึก แวะโสกหาเหยื่อปลาเป็นไว้ใช้ตกปลาที่ทุ่นเหลือง
หลังเกาะพยาม แต่ก็ไม่ค่อยจะมีปลาทู มางับ ซาบิกิ เท่าไรนัก เราจึงเดินหน้าสู่หมายตกปลากันทันที
เหยื่อที่เราเตรียมไปมีเพียงหมึกสด ที่ซื้อมาจากตลาดสด เพียง 3 กิโล เท่านั้น
งานนี้จะออกหัวหรือออกก้อย ก็ต้องแล้วแต่ดวงและโชคชะตา กับการเหยื่อ Jig
ที่เราเตรียมไปในครั้งนี้กันแล้วละ พอเรือผ่านพ้นเกาะพยามมาได้หน่อย ผมเตรียม
เหยื่อสุดฮิตของฝั่งอันดามัน ที่เรียกกันติดปากว่า "เหยื่อเบิร์ด หรือปลาบิน"
ของพี่หมูโอเชี่ยน ก็ถูกนำมาใช้ Trolling เพื่อหาปลาโอมาใช้ทำเหยื่อ ทั้งของคนและของปลา
บังเลาะขอสนุกด้วยคนใช้ CD-14 มาร่วมลากเหยื่อด้วยอีก 1 สาย ด้วยความหวังกับปลาอินทรีตัวงามๆ
สักตัว เวลาผ่านไปได้ไม่นาน CD-14 ของบังเลาะ ก็แผดเสียงร้องแหบๆ "แคร๊กก
แค๊ก แคร๊กก" บังเลาะที่ยืนเฝ้าลุ้นคันตัวเอง ผวาเข้าไปคว้าดึงคันออกมาจากกระบอก
แล้ววัดไป 1 ฉับ "อินทรี อินทรี ตะลา ล่า" อารมณ์ ดีใจของเพื่อนๆ
ที่มายื่นเอาใจช่วยลุ้น กับความเข้าใจมันว่าต้องเป็นอินทรี ชัวร์ป้าบ แต่พอบังเลาะ
อัดมันเข้ามาใกล้ๆ ไหง อินทรี ตัวมันป้อมๆ อ้วนๆ หว่า "นี่มันปลาโอ
นี่หว่า ธ่อ นึกว่าเป็นอินทรีสะอีก" เสียงบ่นกระปอดกระแปด ออกมาจากปากบังเลาะ
"เฮ้ย ไอ้นี่แหละ สุดยอดเอามาแล่ทำปลาดิบกินสะเลย ฮ่า " พี่ซิง
กล่าวออกมาอย่างอารมณ์ดี และปลาโอไซส์เกิน 2 กิโลตัวนั้นก็ถูกนำเข้าครัวแปรสภาพเป็นปลาดิบ
ในเวลานั้นเอง เหยื่อลากปลาบิน จากพี่หมูโอเชี่ยน ยังทำงานของมันได้สมกับราคาคุย
เราแบ่งปันความสุขด้วยการแบ่งกันอัดปลายามที่มันไล่งาบเหยื่อลาก กว่าเราจะเดินทางมาถึงหมายหลังเกาะสุรินทร์
เรามีมีปลาโอ ตุนไว้ทำเหยื่อตกปลา หลายสิบตัว
ลานหินกว้างใต้น้ำ
เตี่ยสำเนา
คุณพ่อของไต๋นุ ที่อาสาร่วมลงเรือและเป็นผู้นำพาพวกเราไปตกปลาในครั้งนี้
บอกให้ไต๋นุ ลูกชายนำเรือเข้าหมายกองหิน อยู่ห่างจากเขตอุทยานเกาะสุรินทร์ออกไปทางทิศตะวันตก
3 ไมล์ ปัจจุบันเจ้าหน้าที่อุทยาน จะเข้มงวดกับเรือประมง รวมทั้งเรือตกปลาที่เข้าไปในรัศมี
2 ไมล์ทะเลจากฝั่ง มากกว่าเมื่อก่อน เตี่ยสำเนาบอกกับพวกเราว่า 'เดี๋ยวนี้ถ้าเรือลำไหนเข้าไปจับปลาในเขตอุทยาน
เจ้าหน้าจะจับทันทีทั้งยึดเรือและยึดอุปกรณ์จับปลาทั้งหมด ไม่น่าจะเสี่ยงเข้าไปเพราะมันผิดกฎหมาย'
"เตี่ย คืนนี้เราจะหลบลมจอดตกปลากันที่นี้ทั้งคืนรึเปล่าครับ"
ผมถามเตี่ยสำเนาเมื่อมาจอดถอดสมอ "ใช่ครับ มันจะมีลมประมาณ 4 ทุ่ม ออกพ้นหัวเกาะไปก็โดนเต็มๆ
ละครับ" ตกลงคืนนี้ เราจะหย่อนเบ็ดตกปลากันที่หมายกันจนเช้า หมึกสดที่เราเตรียมมา
ดูจะใช้ได้ผลดีสำหรับคืนนี้ ทุกคนต่างลงเหยื่อหมึกสดกันจนครบ ยกเว้น นายเคี้ยง
คุณดร และบังเลาะ ที่สนุกกับการเล่น Jigging และเฮียเล็กบางชัน ก็เรียกเสียงฮือฮา
จากเพื่อนๆ เป็นคนแรก เมื่องัดเอาปลากะมงตา ไซส์เกิน 3 กิโล ขึ้นมานอนดิ้นพร่าน
บนเรือได้เป็นคนแรก พอบรรดามือจิ๊ก เมื่อเห็นเฮียเล็กตกปลากะมงได้เท่านั้นแหละ
มือจิ๊กทั้งหลายต่างรีบโรยเหยื่อ แล้วออกแรงปั่นรอก ทำให้ผมนึกไปถึงภาพของตุ๊กตาที่เราเคยเห็นตามสวนสนุกงานวัดเวลาที่เราใช้ปืนอัดลมลูกกระสุนเป็นจุกน้ำปลา
ยิงตุ๊กตาล้มลง เจ้าคิงคอง ตัวใหญ่ ก็จะทำงาน ตีฉิ่ง ตีฉาบ เต้นตามจังหวะเพลงในร้านยิงเป้า
ยังไง ยังงั้น "ฮะ ฮ่ะ ฮา เคี้ยง อย่าอู้ จิ๊ก จิ๊ก จิ๊ก ปลาเข้าแล้ว"
เสียงคุณดร แซวเพื่อนเคี้ยง เป็นระยะ ๆ เมื่อมีใครตกปลาขึ้นมาได้ คุณดร ก็จะบอกเพื่อนเคี้ยง
ให้คว้าคันมา จิ๊ก ทันที แม้แต่เห็นปลาอะไรที่เข้ามาในรัศมีสายตาที่มองเห็น
คุณดรก็จะ ตะโกน บอกเพื่อนเคี้ยง ให้รีบมาจิ๊ก "เคี้ยง ๆ ๆ เร็ว ปลามาแล้ว
จิ๊ก จิ๊ก จิ๊กเลย" เสียงคุณดร ตะโกนร้องบอกให้เพื่อนเคี้ยง นำคันมาจิ๊ก
โดยหารู้ไม่ว่า ไอ้ปลาตัวนั้นมันเป็นปลาเหาฉลาม พอนายเคี้ยง โรยเหยื่อลงไปเท่านั้น
เจ้าเหาฉลามมัน ก็แสดงตัว โผล่หน้าออกมาจากใต้ท้องเรือ พอได้เห็นลำตัวรูปพรรณสันฐาน
มันเท่านั้นนายเคี้ยง ถึงกับอึ่งกิมกี่ "อ้าวเวง นี่มันเหาฉลามนี่หว่า
ธ่อ นี่จะให้ผม จิ๊กไอ้เหา นี่อ่ะ นะ"เรียกเสียงฮา ดังลั่นเรือ เวลาผ่านไปดึกเท่าไร
กระน้ำก็เริ่มไหลแรง ขึ้นเรื่อยๆ จนตะกั่วขนาด ครึ่งกิโล ยังเอาไม่อยู่ ปลากะมงไซส์
3-4 กิโล ดูจะเป็นปลาหลักที่เราได้ในค่ำคืนแรก แต่ก็ยังมีปลาแดงแซว ปะปนอยู่บ้าง
ตามฝันสู่ชายร่อง
เช้าวันใหม่
ลมเริ่มสงบลง ไต๋นุ ขับเรือมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ เราเล่นเกมส์การลากสาย
กันอีกครั้งและครั้งนี้ เราพบกับเหตุที่เป็นปริศนา เมื่อ รอก Shimano TLD-25
2 Speed ที่ผูกCD-18 ขาวหัวแดง โดนปลางับเข้าเต็มปาก สายเอ็น 40 ปอนด์ไหลปู๊ด
ออกจากรอกไปอย่างรวดเร็ว เสียงรอก แผดเสียงร้องครางดังลั่น "ปรี๊ดดดดดดดดด"
เสียงนกหวี ดังขึ้นเป็นสัญญานบอกให้ไต๋เรือรับรู้ว่า บัดนี้ท้ายเรือ ปลาเข้า
สไตร์ เหยื่อลากเข้าให้แล้ว ไต๋นุ เบาเรือลงทันที ณ ตอนนี้ ที่ท้ายเรือ มีพี่ดำเกิง
เฮียเล็กบางชัน และผม 3 คนที่ยืนอยู่ "ถอยเรือเร็ว ปลามันวิ่งพาสายจะหมดหลอดแล้ว"
ผมตั้งสติได้ ก็ร้องตะโกน บอกให้ไต๋นุ เข้าเกียร์ถอยหลัง แต่มันก็ช้าไปพวกเราได้แต่ยืนดู
ปลาวิ่งลากสายออกไป โดยที่ไม่มีสิทธิ ที่จะหยุดยั่ง มันได้แม้แต่น้อย ในที่สุด
เอ็นที่บรรจุอยู่ในสปูล ก็หมดเกลี้ยง มันจากไปพร้อมกับคาบเอา CD-18 ไปเป็นที่ระลึกด้วย
"โห้ยยยย ปลาที่นี่ดุจังวะ ดู เด่ะ ตอดเหยื่อ CD-18 จนเกลี้ยง เลยวะ"
ผมแซวเจ้าบังเลาะ "ผมพึ่งจะเคยเห็นปลาที่มันวิ่งเร็วก็ครั้งนี้แหละ
ทำอะไรไม่ถูกเลยตะลึงค้างไปหมด" พี่ดำเกิง ผู้ซึ่งจะออกตกปลา กับไต๋ลือ
เป็นประจำแทบจะทุกเดือน ถึงกับตะลึงกับภาพที่ได้เห็นเมื่อสักครู่ เราสรุปไม่ได้ว่ามันเป็นปลาอะไร
แต่ที่แน่ๆ ในระดับน้ำที่ลึก เกิน 80 เมตร อย่างนี้ และมันยังคงจะคาใจพวกเราทั้ง
3 คนไปอีกนาน เราได้ปลาโอ ไซส์ เกือบ 4 กิโลจากการลากเหยื่อปลาบินเพิ่มมาเป็นอาหารอีก
2 ตัว จนกระทั้งเรือได้แล่นมาถึงหมายชายร่องที่ระดับน้ำลึกประมาณ 80-90 เมตร
พลพรรคผู้นิยมเกมส์ Jigging ยังคงปฏิบัติการ จิ๊ก กันสะบั่นหั่นแหลก จนแขนอ่อนล้าหมดแรงไปนั่งเป่าปาก
อ้าปากพะงาบ พะงาบ ยอมแพ้กันเป็นแถว พี่ใหญ่ เกษตร คว้าเอาปลาโอตัวเขื่องมาเกี่ยวเบ็ดขนาด
7/0 ตะกั่วลูกละ 1 กิโล ถ่วงนำปลาโอลงสู่พื้นด้านล่าง ขณะที่เรากำลังสนทนากันเพลินๆ
เสียงร้องจากรอกที่เกี่ยวปลาโอ ก็แผดเสียงดังลั่นจนแสบแก้วหู พี่ใหญ่คว้าคันขึ้นมาวัด
แต่ก็ยังช้าไป ปลามันปล่อยเหยื่อ เสียก่อน พี่ใหญ่จึงวัดวืด เราจึงไม่ได้เห็นหน้าเจ้าปลาตัวนี้ที่อาจหาญมางับเหยื่อตัวบักเอ๊บ
ในที่สุดพี่ดำเกิง ก็ปลุกกระแสต่อมตื่นตัวให้กับเพื่อนๆ ที่ร่วมทริบ เมื่องัดเอาปลาแดงจ่า
สีแดงสด ไซส์ กำลังหม่ำ ขึ้นมาได้ จากนั้นพี่เปี๊ยก ก็งัดเอาปลาแดงจ่า ได้ขึ้นมาอีกตัว
จากนั้นปลาแดงจ่า ชักแถวเข้าคิวโดนลำเลียง ถูกดึงขึ้นมานอนแช่ในลังน้ำแข็ง
อีกหลายตัว จนได้เวลาที่เราจะต้องรีบเผ่นกลับมาหลบลมยังที่เดิม เพราะถ้าขืนไม่รีบเข้า
มีหวัง ได้โต้เดิ่ง กันทั้งคืนแน่ๆ
หลบลมที่ลานหินกว้างใต้น้ำ
เราต้องรีบหันหัวเรือแจ้นหนีลมที่รุนแรง เข้ามาหลบลมที่ ยังหมายเดิม คืนนี้
ต่างกับคืนแรกปลาฉวยเหยื่อ บ่อยขึ้นกว่า เราได้ปลาเพิ่มมากขึ้น ความสนุกมาเยือนเราเป็นระยะๆ
และคราวใดที่เพื่อนคนใดกำลังอัดปลา คุณดร ก็จะตะโกนเรียกให้นายเคี้ยง รีบมาลงเบ็ดจิ๊ก
ปลาทุกครั้งไป ระหว่างที่สมาชิกกำลังเล่นจิ๊ก นายเก๋ ก็จะนั่งอยู่หน้าจอ
Sounder เป็นคนบอกระดับความลึกของปลา" มีปลาเข้ามาแล้วระดับ 40 เมตร
ครับ" บรรดามือจิ๊ก ก็ต้องหย่อนสายลงไปในแนวระดับที่ปลาอยู่ นายเคี้ยง
ยังไม่ละความพยายามในการตกปลาแบบ Jigging เมื่อยืนจิ๊ก จนอ่อนล้า ก็เลยนั่งจิ๊ก
แล้วก็เปลี่ยนมานอนจิ๊ก แต่แล้วจู่ๆ นายเคี้ยงก็ลุกพรวดพราดก่อนจะชะโงก ลำตัวส่วนบนออกไปนอกเรือ
"ปลากินเหยื่อจิ๊กของผมแล้ว วู้ ไชโย" นายเคี้ยง เปล่งเสียงออกมาด้วยความดีใจสุด
ๆ ที่ความพยายามของเขา ประสบผลสำเร็จ พวกเราชื่นชม กับนายเคี้ยง ขณะที่คันเบ็ดของบังเลาะที่ลงเหยื่อและปักคันไว้ข้างๆ
กับพี่ซิง เกิดอาการกระตุก และกระตุกถี่ขึ้น พี่ซิงที่อยู่ใกล้คัน หันรีหันขว้าง
แล้วเปล่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบา ขนาดที่ผมนั่งอยู่ใกล้ๆ ยังแทบจะไม่ได้ยินว่า
"เลาะปลากินเบ็ด เลาะปลากินเบ็ดแล้ว" โธ่พี่ซิงคงจะกลัวว่าเจ้าของคันจะได้ยินจึงพูดสะอย่างเบา
"โธ่ พี่เจ้าเลาะมันอยู่ท้ายเรือ มันจะได้ยินเหรอพี่ " เมื่อพี่ซิงเห็นว่า
เจ้าของคัน เงียบไม่ตอบ พี่ซิงจึงอาสา เป็นผู้อัดปลาตัวนี้เสียเอง "ม่ะ
ผมจัดการแทนแล้วกัน ฮ่า เสร็จ ผ๊ม จนได้ เฝ้ามานานแล้ว" ผมได้ทีจึงแซวพี่ซิงไปว่า
"อ้อนี่พี่กำลังจิ๊ก กะ ลิ้ง อยู่ใช่ป่ะพี่" พี่ซิงตอบกลับมาว่า
"ช่าย ช่าย น้าโย ผมกำลังจิ๊ก คันชาวบ้านมาอัดปลา ฮ่า ๆ ไม่ต้องลงทุนดี"
ปลาตัวนี้เป็นปลาแดงแซว และอีกไม่นานพี่ซิงก็จิ๊กคันเดิมมาอัดอีกเป็นรอบ
2 คราวนี้เป็นปลาช่อนทะเล มันจึงเป็นที่มาของการ เกิดวิธีการจิ๊กแบบใหม่ขึ้นกับพวกเรา
นั้นคือ 'จิ๊ก กะ ลิ้ง'นักตกปลาท่านใด จะนำวิธีนี้ไปใช้ โปรดระวัง เจ้าของคันไว้ด้วยน่า
ครับ มิฉะนั้นอาจเกิดอาการ โดนตื๊บ ตกน้ำโดยไม่รู้ตัว ส่วนเฮียเล็กบางชัน
ก็ไม่ยอมน้อยหน้าเมื่อมีอินทรีหน้ามืด เข้ามาฉวยเหยื่อหมึกที่เริ่มจะมีกลิ่น
ตุ ตุ เฮียเล็ก อัด อินทรีหน้ามืดตัวนั้นจนกระเด็น กระดอน เพียงไม่นาน อินทรี
ขนาด 5 กิโล ก็มานอนในห้องน้ำแข็ง พี่ใหญ่เกษตร ก็สมหวังกับการใช้สายเอ็นเล็ก
เพียง 12 ปอนด์ ตกปลากะมง เล่นเอาเพื่อนๆ เอาใจช่วยลุ้นกันไปตั้งหลายยก กว่าพี่ใหญ่จะสามารถพิชิต
ปลากะมงตัวนี้ขึ้นมาได้ พี่ใหญ่สมหวังกับการตกปลาด้วยสายเล็ก
บทสรุปของทริบนี้
ตลอด
3 วัน 3 คืน ที่เราอยู่บนเรือ เราพบว่าน้ำทะเลไหลไปในทิศทางเดียวกันตลอด
ไม่ว่าจะเป็นช่วงน้ำขึ้นหรือน้ำลง น้ำล่างก็จะเดินไปทางเดียวเสมอ และข้อสงสัยนี้
ก็ยังไม่มีข้อสรุป ไม่มีบทพิสูจน์ ใดๆ นอกจาก คำพูดของเตี่ยที่บอกกับพวกเราว่า
"ช่วงนี้น้ำ มันเดินแปลกๆ มันไหลทางเดียว มันเป็นอย่างนี้มานานเป็นเดือนแล้ว"
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้กระแสน้ำเดินเปลี่ยนแปลง หรือมันจะเป็นผลจากปรากฏการ
'เอลนิลโย' ก็ไม่อาจจะทราบได้ แต่ถึงอย่างไร จำนวนปลาที่เราได้มานั้น ถึงจะไม่มากมายก่ายกอง
แต่มันก็ไม่น้อยจนเกินไป มันพอเพียงกับการได้มาตกปลาในครั้งนี้ สำหรับพวกเราแล้ว
ความสุขของการตกปลาไม่จำเป็นที่จะต้องได้ปลามากมายเสมอไป ความสุขที่แท้จริงมันอยู่ที่บรรยากาศ
ที่เรามาใช้ชีวิตร่วมกันบนเรือลำเดียวกัน กับความสนุกสนานด้วยเสียงหัวเราะ
เฮฮา ไม่มีเรื่องให้ต้องปวดหัวให้กลับไป มากกว่า เรือลำนี้สะดวกสบายมาก ลำก็ใหญ่โต
ความปลอดภัยไม่ต้องพูดถึง คลื่นสูง 2 เมตร ยังนิ่งเลยครับ ผมก็ต้องขอจบเรื่องราวในทริบนี้ลงไว้เพียงเท่านี้
ก็ขอขอบคุณเตี่ยสำเนา นายเก๋ และไต๋นุ ที่มอบความสุข ความสนุกกับพวกเราในครั้งนี้
สำหรับท่านที่สนใจจะไปตกปลากับไต๋นุ คนขยัน สามารถโทรสอบถามจองเรือได้ที่เบอร์โทร
09-874-0235
ข้อมูลเรือ โชคอนุรัตน์
ไต๋นุ
เรือยาว 21 เมตร ห้องนอน ติดแอร์เย็นฉ่ำ พร้อมห้องน้ำ Sounder และ GPS
ค่าบริการ หมายใน 1 วัน 1 คืน ราคา 7,500 บาท วันต่อไปคิดเพิ่ม 6,500 บาท
ออกไม่เกิน เกาะสุรินทร์ 3 วัน 2 คืน ราคา 24,000 บาทถ้าไปชายร่อง คิดเพิ่มอีก
4,000 บาท
ออกหมายดอนทูน่า เพิ่ม 4,000 บาท รวมเป็น 32,000 บาท (ไม่รวมอาหารและน้ำดื่ม)
ยินดีรับจัดอาหารให้ตามจำนวนคนและงบประมาณที่สั่ง
สนใจติดต่อ คุณเก๋ โทร 09-874-0235
[หน้าต่อไป]
[กลับสู่เมนู]
|