ทริปแรก
จังหวัดชุมพร
.....สายฝนพรำ
ๆ ตั้งแต่ 4 ทุ่มของคืนวันที่ 11 เมษายนสร้างความกังวลเล็กน้อยให้กับพวกเรา
4 ชิวิตที่ฝากไว้กับ
เชอโรกี้คันเก่ง ที่เป็นพาหนะในทริปนี้เพื่อมุ่งสู่ชุมพร..... เพื่อนหนุ่ยของเรารับหน้าที่เป็นสารถี
ตั้งแต่ออกเดินทางจาก
ชลบุรี-มุ่งหน้าสู่ชุมพร เพื่อนหนุ่ยพยามใช้ความเร็วให้ช้าที่สุด เท่าที่ทำได้
เพราะเราออกจากชลบุรีมาเร็วเกินไป
จึงต้องควบคุมความเร็ว และ ระยะทางให้ถึงหาดทุ่งวัวแล่นตอนเช้ามืด
เพื่อที่จะชมพระอาทิตย์ขึ้น...ยามเช้าโผล่พ้นขอบทะเล
...เรามาถึงหาดทุ่งวัวแล่นตามเวลาที่คาดไว้ คือประมาณ 6 โมงเช้า แต่พลาดโอกาศชมพระอาทิตย์ขึ้นตามใจหวัง
เพราะติดเมฆฝน ที่ทำให้เช้าวันนี้ที่หาดทุ่งวัวแล่น ดูเงียบเหงาไปเลย
แต่ยังคงความงามที่เงียบสงบ และบริสุทธ์สมคำล่ำลือ
ที่ว่าจัดเป็นหาดที่สวยที่สุดในประเทศไทยแห่งหนึ่งเลยทีเดียว......
.
....เช้าของวันที่ 12 เม.ย ที่ตัวเมืองชุมพร ยังดูเงียบเหงาในสายตานักเดินทางอย่างพวกเรา
"ติ่มซ่ำ" คืออาหารเช้าอันแสนอร่อย
กับกาแฟโบราณ ที่ทำให้พวกเรารับประทานมากเป็นพิเศษ... สายฝนยังคงพรำ
ๆต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ทำให้เราต้องเปลี่ยนแผน
จากการที่จะดำน้ำดูปะการังมาเป็นมุ่งสู่ผืนผ่าพะโต๊ะ ที่ยังคงสภาพป่าดิบชื้นไว้
ซึ่งป่าอันสมบูรณ์พร้อมสายหมอกที่เรี่ยขุนเขา
ตลอดวันแม้จะเป็นกลางเดือน เมษายนก็ตาม
...เราใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 41 ตามเดิมจากแยกปฐมพรที่ตัวเมืองชุมพร
มุ่งสู่อำเภอ หลังสวนประมาณ 60 กิโลเมตร
หรือประมาณ 40 นาที แล้วเลี้ยวเข้าแยกขวามือจะเข้าเส้นทางหมายเลข 4006
อีก ประมาณ 40 กิโลเมตรถึงอำเภอ พะโต๊ะ
รวมแล้วใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงครึ่ง จากตัวเมืองชุมพรก็มาถึงอำเภอพะโต๊ะ
ความรู้สึกแรกที่สร้างความประหลาดใจ
และดีใจอย่างคาดไม่ถึงให้กับพวกเรา คือความเขียวขจีของผืน ป่า และความหนาแน่นของสายหมอก
เป็นสิ่งเร้าที่ทำให้เรารู้สึก
ตื่นเต้นกับการผจญภัยครั้งนี้ ที่กำลังจะเริ่มขึ้น. ....
...พวกเราใช้บริการของ " มาลินบริการ " ซึ่งรับบริการอาหารพร้อมล่องแพคิดต่อหัวละประมาณ
350 บาทซึ่งก็ถือได้ว่าไม่แพง
เท่าไรกับการท่องเที่ยวลักษณะนี้ในเมืองไทย มาลินบริกาสร้างความประทับใจในการบริการให้กับพวกเรามาก
พร้อมกับส่งไกด์ตัวน้อย
นามว่า " เขน " มาเป็นผู้นำทางเราเข้าสู่ผืนป่าพะโต๊ะ ตลอกเส้นทาง
...พวกเราเริ่มเดินทางเข้าสู่ " น้ำตกเหวโหลน " ซึ่งวันนี้ดูน้ำน้อยไปหน่อยแต่ก็สร้างความ
ชุ่มชื้นให้แก่เราพอสมควรรวมทั้งตัวทาก
ที่สร้างความตื่นเต้นปนสยองขน แกคณะเราโดยเฉพาะ เพื่อนหนุ่ยของเราเหมาคนเดียว
2 ตัว.
..จากนั้นไกด์ตัวน้อยของเรา ก็พาเราลองเส้นทาง Off road ตามคำขอจากพวกเรา
เพื่อมุ่งสู่ " น้ำตกเหวตาจัน "
ซึ่งสร้างความรู้สึกมันส์ ๆ ให้กับผม และ พวกเราโดยลืมความเสียดายริ้วรอยขีดข่วนแก่พาหนะไปเลย
ด้วยความโหดของเส้นทาง ทำให้บ่ายวันนั้นมีแต่คณะเราที่เข้าถึงน้ำตก
จึงเล่นน้ำตก ด้วยชุดเรทอาร์อย่างเต็มที่ก่อนเดินทางกลับ
สู่อำเภอพะโต๊ะ เพื่อล่องแก่งในเย็นวันเดียวกัน ...ล่องแก่งต้นน้ำหลังสวนระดับของแก่งประมาณ
1 หรือ 2 ให้ความปลอดภัยสูง
สำหรับผู้เยาว์แต่ธรรมชาติริมสองฝั่งลำน้ำของที่นี่ไม่เป็นรอง ใครในสายตาพวกเรา
40 นาทีของช่วงแรกก็ถึงที่พัก
ซึ่งเป็นสวนผลไม้ ของมาลินบริการพวกเราตกลงพักค้างคืนกัน ที่นี่พร้อมอิ่มเอมกับอาหารปักษใต้
ทานกับข้าว
ที่หุงด้วยกระบอกไม้ไผ่ ก่อนจะหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ในกระท่อมแสนสวยริมลำธาร
พร้อมฟังเสียงฝนตกพรำๆ
เราออกล่องแก่งกันอีกครั้งตั้งแต่ 7 โมงเช้าเพื่อรีบเดินทางกลับตัวเมืองชุมพร
.... บรรยากาศสองฝั่งน้ำยามเช้าสวยงามมาก
สัตว์ใหญ่น้อย พากันลงมากินน้ำ ในล้ำน้ำที่พวกเราล่องแพผ่านมา
...
" ถึงฝั่งกันแล้วพวกเรา " รีบๆกันหน่อยเรามีนัด กับเรือที่หาดทรายรี
เพื่อข้ามไปดำน้ำดูปะการังที่เกาะมัตรากัน เราเดินทางออกจาก พะโต๊ะ
มาถึงที่นัดหมาย บริเวณหาดทรายรี แล้วก็เริ่มทยอยขนของขึ้นเรือ เราใช้เวลาประมาณ
40 นาที จากหาดทรายรีก็ถึงเกาะมัตรา
ความรู้สึกแรกที่พวกเราเห็นก็คือ ความรู้สึกผิดหวังกับการจัดการ ต่างๆรอบเกาะ
เรือหลายลำถูกปล่อยให้ทอดสมอ
ในบริเวณที่ดำน้ำดูปะการังกัน คราบน้ำมัน ขยะ ต่างมีเห็นอยู่ทั่วไปบนเกาะ..เกาะนี้มีลุงขาวเป็นผู้ทำธุรกิจท่องเที่ยวเพียงคนเดียว
บนเกาะแต่ความรู้สึกของคณะเรากับช่วงเวลาเพียงคืนเดียวตามมาซึ่งความรู้สึกผิดหวัง
.
ค่าใช้จ่ายที่พัก อาหาร หรือค่าบริการต่าง ๆ ก็แพงในระดับเดียวกับโรงแรมที่มีการบริการที่ดีกว่า..เช่น
ปลากะพงแดงตัวละ 350บาท
ข้าวหม้อละ 60 บาท ที่พัก คืนละ 500 บาท เป็ปซี่ขวดละ 60 บาท
....จากทริปนี้ก็ขอฝากเพื่อนนักเดินทางที่จะไปยังเกาะมัตราก็ใช้ความระมัดระวังกัน
หน่อยนะครับไม่งั้น
หมดตัว
ครับเจ้านายยยยย.. ....
เช้าวันรุ่งขึ้นเราโทรกับฝั่งให้เรือมารับเร็วกว่ากำหนด และ เดินทางกลับสู่ฝั่งที่หาดทรายรีเช่นเดิม
มาถึงตอนนี้พวกเรา
ยังไม่อยากกลับบ้านจึงตกลงจะไปกันต่อโดยเลือกเส้นทางสาย 41 ตามเดิมเพื่อไปน้ำตกที่เชื่อกันว่าสวยที่สุดในภาคใต้
.หลายคนอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวของน้ำตกใหญ่ที่ซ่อนตัว อยู่กลางผืนป่าทุ่งตะโก
แต่ด้วยความลำบากของเส้นทางจะมีก็แต่รถ
ที่ลุย ๆ เท่านั้นที่จะเข้าไปได้ ถูกแล้วครับ " น้ำตกคลองเพรา
" หรือน้ำตกทับช้าง คือที่ต่อไปที่เราจะไปพิสูจน์ว่าสมคำร่ำลือหรือไม่
บนเส้นทางสาย 41 ก่อนถึงสี่แยกหลังสวนประมาณ 5 กิโลเมตรแยกขวามือ บริเวณปั๊มน้ำมันสามม่ายเข้าไปประมาณ
15 กิโลเมตร
โดยเส้นทางหฤโหดประมาณ 2 ชั่วโมงก็จะถึงน้ำตกคลองเพรา แต่เนื่องจากเป็นเวลาเย็นมากแล้วเราจึงต้องเลยไปตั้งแค้มป์
กันที่ทำการอุทยานซึ่งเลยไปอีกประมาณ 400 เมตรอดใจไว้ดูน้ำตกวันรุ่งขึ้น
..........
....เช้านี้บรรยากาศสดใสมากไม่มีฝนเหมือนอย่างทุกวันเราเดินทาง เรามุ่งหน้าเข้าสู่น้ำตกโดยเดินเท้า
ประมาณ 30 นาทีลัดเลาะ
ไปตามเส้นทางที่ซึ่งค้อนข้างอันตรายพอสมควร แต่ก็สวยงามด้วยดอกไม้ป่า
และเสียงน้ำตกที่ดังโครมครามให้ได้ยินตลอดเวลา
ก้าวแรกที่ย่างเข้าบริเวณตัวน้ำตกสำผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ในตัวน้ำตกด้วยปริมาณน้ำ
ที่มากมาย แม้จะเป็นเดือนเมษายนก็ตาม
ตอนแรกว่าจะไม่เล่นน้ำแล้ว เพราะรู้สึกหนาวแต่ก็มีค่าเท่ากัน เพราะต้องเปียกจากละอองน้ำที่ปลิวกระเซ้นมาทำให้คณะของเรา
ต้องเปียกปอน กันทั่วหน้าพวกเราเลยตัดสินใจโผเข้าสู่แอ่งน้ำที่ไม่ลึกและอันตรายเหมือนน้ำตกใหญ่ๆ
ที่อื่น...
มีแต่คณะเราเท่านั้นที่เข้ามาเยี่ยมเยือนเลยมีความรู้สึกเหมือนกับอยู่โลกหนึ่งซึ่ง
ยังคงความบริสุทธ์ไว้อย่างดี
อาจจะเป็นเพราะข้อจำกัดของเส้นทางที่ยังคงกั้นมัน ไว้จากโลกภายนอกไม่ให้ถูกรบกวน
และทำลายอย่างน่าเสียดาย
..ถึงตอนนี้ผมตั้งข้อสงสัยกับตัวเองว่าความเจริญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นถนนลาดยางที่จะนำมาซึ่ง
ตลาด แผงส้มตำ ฉิ่งฉับทัวร์
จะทำให้น้ำตกที่สวยงามยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือจะอยู่กับเราอีกนานเท่านานหรือเปล่า
.....สำหรับทริปนี้
สวัสดีครับ
|