เสาร์,2 พฤศจิกายน 2567
 
[ Home ]

                          
+ รายงานทริป

+ รูปหน้า 1

  

 


ทริปที่สองน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น กาญจนบุรี

   น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น จ.กาญจนบุรี
เจอกันครั้งที่.2 คราวนี้ตัวหนอนขออาสานำเที่ยว ในสไตร์นอกถนนเช่นเคย คราวนี้ไปกันที่ จ.กาญจนบุรี ครับทริปนี้เริ่มต้นด้วยดี ไม่มีสายฝนโปรยปรายลงมาเหมือนทริปแรกที่ไปชุมพร เช้ามืดของวันที่ 15 ก.ค.43 พวกเราเก็บข้าวของที่จัดเตรียมกันมาเป็นอย่างดีเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ขึ้นสู่หลังคา เชอโรกี คันเก่งของพวกเรา ปาเข้าไปเกือบตีห้าครึ่งแล้วเพื่อนๆ รีบเร่งเริ่มออกเดินทางกันได้แล้วมุ่งสู่ กทม.ก่อนอันดับแรก โดยใช้เส้นทางบางนา-ตราด ผ่านทางด่วนขั้นที่.2 เพื่อไปตั้งต้นที่ เส้นทางสู่ภาคตะวันตก และ ภาคใต้ คือ ถนนสายพระปิ่นเกล้า-นครชัยศรี เราใช้เส้นทางนี้โดยตลอด ลัดเลอะผ่าน จ.นครปฐม จนถึงแยกขวามือ เลี้ยวเข้าสู่ตัวเมืองกาญจนบุรี ตอนนี้ชักหิวแล้วสิเพื่อน แวะทานผัดไทยห่อไข่ชื่อดังก่อนเข้าตัวเมืองก่อนดีกว่า ร้านที่ว่านี้อยู่ก่อนเข้าตัวเมืองกาญฯนะเพื่อนๆ ถ้ามองเห็นปั้มน้ำมัน Q8 ทางด้านซ้านมือเมื่อไร ก็ร้านจะอยู่แถวๆนั่นล่ะครับ ลองสืบหาดู อิ่มหน่ำสำราญแล้วออกเดินทางต่อ มุ่งหน้าสู่จุดหมาย " น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น " เราใช้เส้นทางเข้าเมืองเดิม ผ่านไปยังสะพานข้ามแม่น้ำแคว สะพานแห่งประวัติศาสตร์ ไม่แวะไม่ได้แล้ว ตกลงแวะลงบันทึกภาพเป็นที่ระลึก พร้อมจับจ่ายของฝาก ได้เวลาพอสมควรแล้วเพื่อน ๆ เดินทางต่อ โดยใช้เส้นทางที่มุ่งหน้าสู่ อ.ศรีสวัสดิ์ เพื่อผ่านเข้าทางเขื่อนศรีณครินทร์ เกือบลืมไปพวกเรา ยังไม่มีสะเบียง สำหรับ 2 วัน สองคืนในผื้นป่าเลย ว่าแล้วแวะตลาดเพื่อหาสเบียง ของสด ของแห้ง ของคาว ของมึนเมา แล้วก็ที่ลืมสะไม่ได้น้ำมันต้องเต็มถึง+กับถังสำรองอีก เพราะเราอาจต้องเดินผ่านเข้าทุ่งใหญ่นเรศวร ซึ่งติดต่ออาณาเขตครอบคุม3จังหวัด จัดเตรียมสเบียงเรียบร้อยแล้ว เราก็มุ่งหน้าต่อ โดยเข้าทาง เขื่อนศรีนครินทร์ แวะเก็บภาพบนสันเขื่อนกันหน่อยดีกว่า เข้าห้องน้ำห้องท่ากัน จะต้องไปอีกไกลพวกเรา ว่าแล้วเดินทางเข้าตัว
น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น โดยผ่านเส้นทางเข้าน้ำตกเอรวัณ ไปอีกประมาณ 46 กิโลเมตร เส้นทางนี้ไม่เท่าไรครับ ถนนไม่ถึงกับต้องใช้ 4x4 ก็ได้ ถ้าเพื่อนๆต้องการจะไปชมน้ำตก หรือ จะใช้อีกเส้นทางก็ได้นะครับ โดยมุ่งหน้าไปให้ถึง อ.ศรีสวัสดิ์ แล้วจะมีแพยนต์ นำรถข้ามลำน้ำมา จนถึงปากทางเข้าน้ำตก ทางนี้ก็สะดวกไปอีกแบบสำหรับผู้ที่รักรถ
มาถึงจนได้ " น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น " เรามาถึงที่หมายประมาณเวลา บ่าย3โมงเย็น พวกเราเลือกทำเลกางเต้นท์ที่บริเวณ น้ำตกชั้นที่.4 ซึ่งทำเลที่เราเลือกกางเต้นท์นี้ สามารถมองเห็นพระอาทิตย์โผล่พ้นจากปลายน้ำของแนวเขื่อน บรรยากาศในยามเย็น และ ยามเช้าจัดว่า สวยงามไม่แพ้ที่ไหนๆ ที่เราเดินทางผ่านพ้นมาเลย ช่วยกันคนล่ะไม้ล่ะมือ ที่กางก็กางไป ที่หุงหาจัดเตรียมก็ทำไป พร้อมแล้วเต้นท์3หลัง ยังไม่ค่ำเลยพวกเรา เล่นน้ำตก ชำระร่างกายกันดีกว่าเดี๋ยวค่อยมาหุงหาข้าว-ปลา ว่าแล้วลุย! เล่นน้ำตกสบายใจ จวนค่ำแล้วพวกเราทำกับข้าวกินกันดีกว่า มื้อนี้จะมีอะไรเนี๊ย? หมึกแดงว่าไงครับ อ้อ...หมึกแดงบอกว่า ค่ำนี้มี ไก่กระเทียม, ต้มยำไก่บ้าน, ไข่เจียวของตาย อิ่มกันเป็นที่เรียบร้อย ติดสอยห้อยตามด้วยวิสกี้ชั้นดี...หงส์ทอง สิพี่แน่จริง เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศลูกทุ่งไง ได้เวลานอนจนได้ 5 ทุ่มกว่า ราตรีสวัสดิ์เพื่อน เต้นท์ใครเต้นท์มันนะ คืนนั้นสายฝนตกพร่ำๆทั้งคืน อากาศเย็นสบาย หลับปุ๋ยกันไปตามๆ(เพราะฤทธิ์วิสกี้รึป่าวไม่รู้นะ)
ตื่นๆๆๆๆ เช้าแล้ว มาดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน ฝนยังคงตกพร่ำๆเช่นเคย พวกเราตื่นจากหลับไหล ล้างหน้าแปรงฟัน และ ผักผ่อนตามอัธยาศัยท์ จนตะวันสายโด่ เก็บเต็นท์กันเตรียมเดินทางต่อ แต่ไงขออาบน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นอีกครั้งก่อนกับนะ ว่าแล้วโดดตูม! สบายล่ะทีนี้ หาข้าวทานกันก่อน ดีกว่าหลังจากอาบน้ำแล้ว พร้อมเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกอีกครั้ง
พวกเราเริ่มปรึกษากันต่อว่า จะไปไหนกันต่อดีวันนี้ จากรายละเอียดของอุทยาน น้ำตกคลิตี้ เป็นเส้นทางที่น่าสนใจ และพวกเราก็เลือกที่จะไปผจญ ทันใดนั้น เจ้าหน้าที่อุทยานท่านหนึงเดินผ่านมาหน้าเต้นท์ที่พวกเราปรึกษากันอยู่ พวกเราจึงสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ท่านั้น " อย่าไปเลย..น้ำตกคลิตี้..น่ะ…หน้านี้เข้าไม่ได้หรอกถึงไปก็ไม่รอด ! " เจ้าหน้าที่อุทธยานน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นเตือนเราด้วยความหวังดี เมื่อรู้ว่าเราจะกำลังมุ่งสู่ผืนป่าตะวันตกด้านทุ่งใหญ่นเรศวร " เอางัยกันดีพวกเรา " พวกเราคณะเดิมปรึกษาหารือกันในช่วงเก็บสำภาระที่เหลือ
แต่ยังไงก็ต้องขอชมเชยทางอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ ไว้ ณ.โอกาศนี้ด้วย ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้วที่มาเยือนที่นี้มีการจัดการหลายอย่าง ที่เปลี่ยนไปในทางเชิงอนุรักษ์ที่มากขึ้นเช่น ช่วงหัวค่ำมีการฉายสไลด์ภาพชีวิตธรรมชาติที่พบในละแวกนั้นหรือการกำหนดเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ตลอดจนห้องน้ำ หรือ สถานที่ก็มีการดูแลรักษาเป็นอย่างดี..น่าชื่นชมจริงๆครับที่นี่…
เชอโรกีคันเดิมและคันเดียวต้วมเตี้ยมเข้าสู่ผืนป่าทุ่งใหญ่นเรศวรหลังจากทานอาหารเที่ยงเรียบร้อยแล้ว พวกเราใช้เส้นทางด้านทิศเหนือ เจอทางแยกก็เลี้ยวซ้ายผ่านด่านแรกที่หน่วยดงใหญ่ประมาณกิโลเมตรที่ 20 จากที่ทำการก็ได้ข้อมูลมาอีกว่ามีรถทหารยังติดอยู่ค้านในน้ำตกคลิตี้ และให้คำแนะนำพวกเราว่าควรไปที่อื่นดีกว่าเช่นน้ำตก ผาสรรค์ หรือผาตาดก็ได้ " ไปน้ำตกผาสวรรค์ละกันนะเอาไว้คราวหน้าถ้ามากันหลายคันค่อยไปน้ำตกคลิตี้กัน" เพื่อนเราคนหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวลใจในความหฤโหดของเส้นทางที่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร เลยมาอีกประมาณ 2 กิโลเมตรก็ผ่านด่านบ้านมอญ โดยมีคนมอญของแท้เดินมาเปิดด่านพร้อมกับรอยยิ้ม พร้อมทั้งเสียงเตือนในความลำบากของเส้นทาง ข้างหน้า …. " เอ๊ะชักยังงัยกัน "
มีแต่คนบอกว่าลำบากหรือไม่ก็ไม่อยากให้ไป…พวกเราดันเป็นพวกยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุซะด้วยซิ ….พวกเราผ่านลัดเลาะขอบป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ผ่านเหมืองเล็ก ๆ ที่ค้อนข้างจะเงียบและรกร้างดูแล้วเป็นบรรยากาศตะวันตกดีเหลือเกินจนมาโผล่แถวชุมชนเล็ก ๆที่ชื่อสะพานลาวที่มีสวนลำไย อยู่สองข้างทางโดยตลอดจนพวกเราอดไม่ได้ที่จะจอดแวะอุดหนุนจนได้ออกจากชุมชน ก็เลียวซ้ายเข้าทางป้ายน้ำตกผาสวรรค์
เส้นทางช่วงแรกดูเหมือนกับว่าพึ่งจะปรับหน้าดินโดยรถไถแต่ด้วยเพราะสายฝนที่ตกพรำ ๆ มาตั้งแต่เช้าทำให้การควบคุมรถทำได้ด้วยความลำบากมาก เชอโรกีคันเก่งเริ่มที่จะวิ่งส่ายไปส่ายมาตามช่องโคลนโดยที่สารถีของเราถึงกับเงียบไปทีเดียวเพราะต้องมุ่งมั่นสมาธิทั้งหมดกับ การควบคุมรถ เข้ามาได้ประมาณ 4 กิโลเมตรก็เจอถนนที่เป็นปลักโคลนยาวประมาณ 15 เมตรเห็นจะได้.. " เฮ้ยลองเดินลงไปดูซิว่าลึกหรือปล่าว " นายบี และ เพื่อนหนุ่ย เดินลงไปวัดระดับความลึกของโคลนตามเสียงบอกซึงดูแล้วน่าจะผ่านได้เพราะลึกแค่หัวเข่าเอง….เสียงคำรามของเครื่องยนต์ พาลำตัวอันอุ้ยอ้าย ด้วยสำภาระผ่านรองโคลนมาอย่างช้า ๆ จนเริ่มที่จะขึ้นจากปลักทันใดนั้นก็มีเสียง…ครืดดดดด…พวกเราพากันลงมาดูถึงได้รู้ว่า เพลาหลังของเราได้ติดแน่นกับเนิน กลางของ ปลักเข้าให้แล้ว
เสียม จอบ หรือ แม่แรงถูกเอาออกมาใช้งานอย่างเต็มความสามารถของมัน บางครั้งก็ต้องขึ้นไปขย่มรถกันเผื่อจะได้เคลื่อนตัวได้บ้าง ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างพวกเรา เวลาผ่านไปประมาณ 2 ชั่วโมงก็ยังเอารถออกไม่ได้….ทันใดนั้นก็มีเสียงเครื่องยนต์อีกคันหนึ่งมาจอดต่อปลักโคลน ผมหันไปเห็นว่ามีผู้ชายลงมาสองคนพร้อมทั้งถามว่า " ไปไม่ได้หรือพี่ …ลึกมั๊ย " รถปิคอัพคันนั้นไม่ได้มีอุปกรณช่วยเหลือพวกเราแต่อย่างใด ผมเห็นพวกเขาปรึกษาหารือกันและในที่สุดก็หันหัวกลับพร้อมทั้งบอกว่าจะบอกคนให้มาช่วยพวกเรา……
แสงแดดเริ่มเหลือน้อยลงพร้อม ๆกับเสียงหัวเราะหรือเสียงหยอกล้อก็หายไปด้วยเหมือนกันจนป่านนี้จนเย็นแล้วยังไม่มีใครมาช่วยเราเลย พวกเราทุกคนเริ่มจะแสดงสีหน้ากังวลจนเห็นได้ชัด…บริเวณนี้ไม่มีร่องรอยของชาวบ้านหรือคนเดินทางผ่านมาให้เห็นเลย…ที่ แห้ง ๆ ที่จะกางเตนท์ก็ไม่มี รอบตัวมีแต่โคลน กับ โคลน เท่านั้นจะมีก็เพียงแต่สายน้ำเล็ก ๆ ที่ไหลรินอยู่ข้างทาง…..." หุงข้าวกินกันเถอะพวกเรา…เดี๋ยวมืดแล้วจะลำบาก " เสียงพี่หนุ่ยเอ่ยอย่างเครียด ๆ ในชะตากรรมที่กำลังประสบอยู่
ข้าวของเริ่มขนทยอยลงมาจากหลังรถโดยยึดเอาที่ว่างริมลำธารเพียง 2 ถึง 3 ตารางฟุตเป็นที่หุงหาอาหารกัน…และแล้วความมืดก็เริ่มคืบคลาน เข้ามาพร้อมกับเสียงแมลงที่เริ่มร้องระงมกันไปทั้งป่า… แสงสว่างจากตะเกียงแก๊ส ช่วยพวกเราได้มากในเวลานี้ พวกเราปรึกษาว่าพร่งนี้เช้าเราคงต้องมีคนซัก 2 คนเดินเท้าออกไปตามหาชาวบ้านให้มาช่วยพวกเรา….
เวลาล่วงเลยมาประมาณ 3 ทุ่มป่าตอนนี้เงียบสงัดไปหมดนาน ๆจะมีเสียงเคลื่อนไหวของอะไรก็ไม่รู้ตามราวป่าที่ทำให้พวกเราเปลี่ยนใจ เข้าไปนั่งในรถแทนเพราะเริ่มที่จะกลัวเจ้าของเสียง เหล่านั้นกระจกถูกเลื่อนมาปิดเกือบหมดเหลือเพียงแค่ช่องเพียงเล็กน้อยให้พอหายใจได้… เสียงใครบางคนเสนอให้ปิดไฟเพื่อ ประหยัดพลังงานแต่แล้วก็ต้องเปิดขึนมาเหมือนเดิมเพราะความกลัวในความมืดของป่าในตอนนั้น…. ทุกคนคงเริ่มคิดออกว่าการติดป่า เนี่ยมันน่ากลัวขนาดไหนก็ตอนนี้นี่เอง….
ผมเริ่มตื่นจากภวังค์เพราะความร้อนอบอ้าวในตอนนั้นดูเหมือนว่าฝนกำลังจะเทลงมาอีก…." เพื่อนบีถาม กี่โมงแล้ววะ..หนอน " ผมตอบกับด้วยความงงๆอยู่เหมือนกันว่าพึงจะเที่ยงคืนเอง…..พวกเราติดอยู่ที่นี่มา 9 ชั่งโมงแล้ว !!!! เพื่อนบีเปิดหน้าต่างรถเพื่อที่จะสำผัสอากาศภายนอกพร้อมทั้งคงจะคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่…..ทันใดนั้น..ก็มีเสียงเครื่องยนต์คำรามมาพร้อมกับแสงไฟที่ส่อง สว่างมาตามราวป่า…เฮ้ยยยยยยย…มีรถมาโว๊ย…เปิดไฟฉุกเฉินเร็ว…เพื่อนบีตะโกนก้อง ท่ามกลางแสงไฟสปอร์ตไลท์ทีส่องสว่างจ้ามาจาก หลังคารถมีเสียงตะโกนออกมาว่า " รถติดหล่มหรือครับ…. ท้ายรถมีหูลากมั๊ย…ผมมีวินซ์จะลากออกมาให้ " สักอึดใจก็มีเสียงสวบสาบลุยบ่อโคลนของชายแปลกหน้าสองคนที่มาเหมือนกับพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยพวกเรา….
ถึงตอนนี้ กำลังใจที่เหือดแห้งไปก็กลับมาพร้อมกับเสียงหัวเราะโดยทันทีทันใดเหมือนกัน…
สายวินซ์ที่ถูกนำมาเกี่ยวกับแหนบหลังเริ่มกว้านรถของเราออกจากปลักโคลนพร้อมกับเสียงไชโยลั่นป่าของพี่หนุ่ย…. ." เอางัยจะไปกับผมต่อหรือจะถอยกลับ " เสียงพี่เอ๋กับพี่ทุมที่พวกเรามารู้ชื่อตอนหลังถามพวกเราหลังจากช่วยพวกเราขึ้นมาได้….พวกเราตกลงไปกันต่อเพราะกลัวว่ากลางดึกอย่างนี้จะไปติดที่ไหนอีก เพราะสายฝนเริ่มหนักขึ้นมาทุกที….ตกลงพวกเราเริ่มเคลื่อนขบวนกันต่อไปลึกเข้าไปในป่าอีกโดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่น้ำตกผาสวรรค์ที่มีเสียง ร่ำลือว่ายิ่งใหญ่และสวยงามมาก
เวลาล่วงเลยมาตี 3 แล้วพวกเรายังคืบหน้ามาได้เพียง 2 - 3 กิโลเมตรจากจุดที่เราติดอยู่เส้นทางช่วงนี้ขึ้นเขาชันมากบวกกับดินโคลนที่โดนสายฝนกระหน่ำอยู่ ทำให้รถของพวกเราส่ายไป ส่ายมาจนต้องคอยประคองและพลักดันไม่ให้ตกร่องน้ำข้างทางจนเวลาล่วงมาตี 4 แล้วพวกเราทำระยะทางได้แค้ 3 กิโลเมตรต่อ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา " ถอยเถอะว่ะ…คราวหน้าค่อนมาใหม่ " พี่เอ๋กับพี่ทุมกล่าวสรุปอย่างหมดหวังกับการที่จะเอาชนะธรรมชาติให้ได้….พวกเราใช้เส้นทางเดิมย้อนกลับออกมา แต่คราวนี้ยากกว่าขามาเพราะสายฝนที่ตกหนักอยู่ทำให้เกิดเส้นทางสายน้ำใหม่มากมายระหว่างทาง การควบคุมรถเป็นไปอย่างลำบากมากกว่าเดิม… ถึงตอนนี้มอบหน้าที่ให้เพื่อนบี รับหน้าที่เป็นพลขับ เบรกถูกยกเลิกใช้งานด้วยสาเหตุที่เส้นทางลื่นเกินไปที่จะใช้เบรกเส้นทางลงเขานี้จำเป็นต้องให้เกียร์ต่ำทดเอาอย่างเดียว ความรวดเร็วขณะลงเขาทำให้รถเสียหลักไปฟาดกับคันดินข้างทางดังโครมใหญ่สร้างความเสียหายเล็กน้อยกับท้ายรถด้านซ้าย ของเรา
พวกเราออกมาจากป่าได้เกือบเช้าถึงพากันมาพักแรมริมสายน้ำบริเวณเหนือเขื่อนเขาแหลม อำเภอ ทองผาภูมิ เต้นท์ถูกกางออกอย่างรวดเร็ว แข่งกันสายฝนที่โปรยปรายอย่างไม่ขาดระยะ…ผมหลับไปในช่วงเวลาไม่ถึง 5 นาทีหลังจากกางเต้นท์เสร็จด้วยความเหน็ดเหนื่อยกับเมื่อคืนหฤโหดที่ผ่านมา " เฮ้ยยย..ตื่นเร็ว…น้ำขึ้นมาแล้ว " ผมตะโกนปลุด เสียงปลุกนี้ทำให้ทุกคนกระโจนขึ้นด้วยความตกใจเพราะเส้นทางเบื้องหน้าที่เราผ่านมาเมื่อคืนตอนที่ผมเห็นตอนนี้คือเป็นลำธาร สายเชี่ยวของน้ำป่าที่ไหลด้วยความเชี่ยวกรากและดูท่าทางจะลึกไม่น้อยนั่นคือตอนนี้พวกเรา ….ติดเกาะ….อยู่กลางสายธารอันเชี่ยวกราก…
พวกเรารีบเก็บของกันแข่งกับเวลาและสายน้ำก่อนที่จะลึกไปกว่านี้แล้วจะข้ามไม่ได้….ในที่สุดพวกเราก็ขามลำธารนั้นมาได้ด้วยความลึกขนาดหน้าอกของคนที่สูง 172 ซม อย่างผม เราผ่านช่วงเวลาอันตื่นเต้นนี้ด้วยความสนุกสนานกันไม่เหมือนช่วงเวลาที่ติดอยู่ในป่าเมื่อคืนที่ค้อนข้างตื่นตะหนกและหวาดกลัวกว่านี้ พวกเราแวะทานข้าวแกง 19 หม้อ บริเวณเหนือเขื่อนเขาแหลมพร้อมทั้งแลกเบอร์โทรศัพท์กันโดยมีคำมั่นสัญญาว่าจะกลับกันมาอีก
เส้นทาง 323 ขากลับไม่ค่อยมีรถมากนักทำให้พวกเรายกเว้นคนขับต่างหลับใหลกันหมดด้วยความอ่อนเพลียกับเส้นทางหฤโหดที่ผ่านมาคงจะพอเท่านี้สำหรับทริปนี้ แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้าครับ…..แต่สัญญาว่าเราจะไปเอาภาพน้ำตกผาสวรรค์ กลับมาฝากเพื่อนๆให้ได้ในเร็ววันนี้…." ข้าขอสัญญา "

 

   

Home | Bicycle | Offroad | Fishing | Radio Control | GPS Corner | Second hand | Member area
Copyright © 2000, www.WeekendHobby.com, All right reserved.

Contact Webmaster