ทริปที่สี่
น้ำตกจ๊อกกะดิ่ง
ทริปนี้ก็เป็นทริปที่4
ของกลุ่มเรา สู่น้ำตกที่แทบจะไม่ค่อยมีใครจะรู้จัก และได้เข้าไปถึง
เส้นทางที่คดเคี้ยวลัดเลาะผ่านเหมืองที่สวยงามสุดผืนป่าชายแดนไทย-พม่า
เลยเขต อ.ทองผาภูมิขึ้นไปอีก ซึ่งมีน้ำตกที่สวยงามซ่อนเร้นตัวอยู่ในผืนป่าแห่งนี้
นั่นคือ " น้ำตกจ๊อกกระดิ่น " ..... การเดินทางเริ่มขึ้นของวันที่
9 ก.ย.43 เมื่อพวกเราได้นัดแนะกันล่วงหน้า และ หาข้อมูลของการเดินทางเข้าสู่ตัวน้ำตก
ได้พอสมควร แล้ว ก็เริ่มเดินทางกัน แต่คราวนี้พวกเรา อยากเปลี่ยนบรรยากาศการเดินทางบ้าง
จึงตกลงกับว่าเราจะลุยกันช่วงกลางคืนดีกว่า น่าจะสนุกไปอีก รูปแบบ
แล้วก็ตกลงกันตามนั้น ....ล้อหมุนออกจากศรีราชาของเย็นวันนั้นประมาณบ่าย
3 โมงเย็นถึงมหาชัย เดินทางผ่านอำเภอบ้านแพ้ว ออกไปถึง จ.นครปฐม มุ่งตรงเข้าสู่ตัวเมืองกาญจนบุรี
คราวนี้เราไปกัน 3 คัน เพราะมีบางส่วนของสมาชิกเราต้องเดินทางไปสำรวจอีกผืนป่าหนึ่ง
ที่ จ.นครนายก ....เราเดินทางมาถึงตัวเมืองกาญฯประมาณหกโมงเย็น แวะเติมพลังให้กับยานพหนะทุกคัน
และ เดินทาง ต่อโดยใช้เส้นทางหลวง 323 มุ่งสู่ อ.ทองผาภูมิ ระยะทางช่วงนี้ยาวไกลพอสมควร
จนเรามาถึง ตลาดทองผาภูมิราวสองทุ่มเศษ แวะพักรถเพื่อจับจ่าย ข้าวปลาอาหาร
เตรียมสำหรับที่หมายคืนนี้ ทั้งคนทั้งรถทั้งเสบียง เตรียมพร้อมกันอีกครั้ง
เดินทางต่อสู่เหมืองปิล๊อก จากตลาดทองผาภูมิมาไม่นานจะเจอสามแยก เลี้ยวซ้ายจะบอก
เส้นทางสู่เหมืองปิล๊อกประมาณระยะทาง 64 กิโลเมตร แต่เส้นทางนี้ต้องใช้ความชำนาญ
และ ความระมัดระวังสูงมาก เนื่องจากเป็นเส้นทางวิ่งตามไหล่เขาตลอด
ทางก็แคบ และ ชันมาก สองฟากฝั่งเป็นเขาและหุบเหวตลอดเส้นทาง เรียกว่าห้ามพลาดโดยเด็ดขาด
จนลัดเลาะมาถึงตัวเหมืองปิล๊อกโดยผ่านหมู่บ้านอีต่อง เราไปถึงที่นั้นประมาณราวห้าทุ่ม
บรรยากาศภายในหมู่บ้านเหมือนหมู่บ้านร้างยังไงยังงันเลยครับ ประกอบกับแสงสว่างสีเหลืองนวลของสปอร์ทไลท์
ของตัวเหมือง ทำให้ดูราวกับหมู่บ้านผีสิงเลยทีเดียว เราไม่พบผู้คนแม้แต่คนเดียวเลยที่เหมืองแห่งนี้
พวกเราคงเข้ามาดึกมากเกินไป จนผ่านมาถึงสุดเขตที่แสงสว่างจากตัวเหมืองจะส่องมาถึงเรา
ก็ได้พบทหารยาม 2 นาย จึงถามเส้นทางไปสู่น้ำตกจ๊อกกระดิ่ง ได้คำตอบว่า
เส้นทางเข้าไปประมาณ 8-10 กิโลเมตรค่อนข้างชัน และเดินทางตามไหล่เขา
เลาะลำธารไปตลอด "แต่ผมยังไม่เคยเห็นใครเข้าไปช่วงกลางคืนเลยนะครับ
พวกคุณน่าจะเข้าไปตอนเช้าดีกว่า มันอันตราย" เป็นคำเตือนจากทหารยามเฝ้าสถานีส่งก๊าซ
ผมกลับบาปรึกษากับสมาชิกในกลุ่มว่า เราจะเข้าไปเลย หรือจะพักที่นี้ก่อนอย่างที่ทหารเหล่านั้นบอกเตือนด้วยความหวังดี
พวกเราคิดว่า ถ้าพักที่นี้กว่าจะเข้าถึงน้ำตกก็ 10 โมงเช้า กว่าจะออกมาอีกเราไม่มีเวลามากขนาดนั้น
และเราต้องการพบกับความสวยงามของน้ำตกในยามเช้าด้วย จากนั่นคือการเริ่มต้นการผจญภัย
ที่จะเข้าสู่ตัวน้ำตกจ๊อกกระดิ่น ตรงนี่แหล๊ะที่เป็นเส้นทางทดสอบสมรรถนะของรถ
และ จิตใจของพวกเรา ....รถทั้ง 3 คันได้ปรับเปลี่ยนเป็นเกียร์สโลว์
เพื่อส่งกำลังปีนป่าย หนทางลาดชันตามเส้นทาง ...พวกเราเข้าไปอย่างช้าๆ
เพื่อความปลอดภัย เป็นอย่างที่ทหารยามเหล่านั้นว่าจริงๆ หมอกลงหนักมาก
บางช่วงมืดมาก และ หลุมค่อนข้างลึก เราจึงเปลี่ยนแผนให้เนฯ ลงเดินเท้าสำารวจทุกช่วงที่เป็นทางชัน
หรือทางลงเขา ตลอดสภาพเส้นทางช่วงนี้หนึ่งด้านที่เราผ่านจะเป็นเหวตลอด
และแล้ว ถึงแม้ว่าเราจะมีเนฯลงเดินสำรวจตลอดทาง และ คอยบอก line แต่บางช่วงเป็นเนินสูง
และทางบีบให้จำเป็นต้องผ่านไป LN106 ผ่านไปได้ เราคิดว่าปลอดภัย แต่เจ้าแมลงหวี่(เจ้าคาริเบียนน้องใหม่)ของเราด้วยความที่เป็นรถเบามาก
เมื่อมีการปีนป่ายแบบเอียง ต่างระดับมากๆ ก็เกิดพลิกคว่ำ ตะแคงข้าง
เอกขเนกเกงเก่อยู่เบื้องหน้าของรถผม ยอมรับว่าตกใจพอสมควร ผมกลัวว่าเจ้าคาริเบียนจะไม่พลิกไปตลบเดียวน่ะสิครับ
เพราะถ้ามากกว่านั้น นั่นหมายความถึงเหว ที่อยู่ด้านข้าง ...ผมร้องเรียก
นายเอ๋รถคันนำทาง " เฮ้ยๆๆๆ หยุดก่อนมาช่วยกันก่อน " รถพี่ทุมคว่ำโว้ย..สักพักก็วิ่งกลูกันมา
เมื่อมองผ่านความมืดเข้าไปในตัวรถเห็นว่าทุกคนภายในรถปลอดภัย ความใจหาย
กลายเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะแทน " มาๆออกมาก่อน " เสียงร้องบอกดังมาจากด้านหลังผม
ทุกคนในรถค่อยๆคลานออกมา จากภายในตัวรถ แล้วเราก็ช่วยกันผลักรถกลับลงมาในส่วนที่มันควรจะอยู่...เมื่อตรวจเช็คความเสียหายในเบื้องต้นแล้วไม่มีอะไร
มาก นอกเสียจาก ร่องรอยการบุบของตัวรถด้านซ้าย ไม่เป็นไรยังไปกันได้อยู่
แต่ตอนนี้ควรจะเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้นนะ เพื่อนๆ " ไปให้ถึง-กลับให้ได้
" ตามสโลแกนนี้นะเพื่อน เราเดินทางกันต่อ ก็เจอทางที่ค่อยข้างโหดขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งสภาพทาง ที่ไม่น่าจะเรียกว่าทาง ลัดเลาะกันมาจนถึงลำธาร นั้นหมายความว่า
นับจากนี้เราจะต้องวิ่งลุยไปในลำธารตลอดสาย ประมาณระยะทาง 4-5 กิโลเมตร
เริ่มจากนายเอ๋ นำตามเคย เพราะเป็นพาหนะคันที่สูงที่สุด บวกกับมีสน็อกเกิ้ล
สมควรที่จะลงไปวัดระดับน้ำให้กับพวกเรา ถึงยังไงก็ยังต้องมี เนฯเดินลุย
ก่อนอยู่ ป้องกันการติดร่องหินใต้พื้นน้ำ ตามด้วยเจ้าตัวน้อยคาริเบียน
ส่วนเชอโรกีปิดท้ายเอาไว้ประคองเจ้าคาริเบียนจากด้านหลัง ...สิ่งที่คิดว่าเกิดก็เกิดขึ้นจริงๆ
เมื่อคันนำทาง ติดร่องหินใต้น้ำ เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่มีแรง
ถึงเวลาคาริเบียนโชว์มั่งแล้ว เราต้องใช้เจ้าตัวเล็กลาก LN106 ที่ติดร่องหินใต้น้ำขึ้นมา
แล้วเปลี่ยน Line แล้วจึงเดินทางกันต่อ.... เราถึงตัวน้ำตกประมาณเวลา
เกือบตี3 ของวันใหม่ สายฝนโปรยปรายมาตลอด เป็นอุปสรรค์ในการกางเต้นท์
และ หาที่หลบฝนของพวกเราอย่างมากไหนจะต้อง สู้รบกับเจ้าตัวทาก ที่แห่กันมาเป็นขโยง
ทำให้คืนนั้นเราแทบนั่งกันไม่ติดเลยทีเดียว พวกเราช่วยกันจัดการตั้งที่หลบฝนจนเสร็จ
พวกพ่อครัวเริ่มลงมือทำงาน กว่าเราจะมีข้าวตกถึงท้องในวันนั้นเกือนตี4
วันนี้ไม่ไหวแล้วเข้านอนก่อนนะ เราแยกย้ายเข้าเต้นท์เกือบตี5.... "
เช้าแล้วพวกเรา " ผมตะโกนร้องเรียกเพื่อน พลางติดเตาต้มน้ำ เพื่อชงกาแฟสำหรับเช้านี้
อากาศดีมากๆเลยครับ ค่อนข้างเย็น มองเห็นทิวหมอกลอยตัวเหนือยอดไม้ไม่มากนัก
ทุกคนลุกขึ้น ต่างคนต่างทำภาระกิจส่วนตัวกัน เราเก็บของเตรียมเดินทางออกจาก
ตัวน้ำตกจ๊อกกระดิ่งเวลา 9 โมงเห็นจะได้ เดินทางออกหมายมั่นปั้นมือว่าจะเข้าไปลุยต่อที่
" ลิ่นถิ่น " ในตอนกลางวัน คราวนี้เราไม่ได้กลับทางลำธารทางเดิมที่เข้ามาเมื่อคืนนี้แล้ว
เราทะลุทางหมูบ้านชาวกระเหรี่ยงแห่งหนึ่งในบริเวณนั้น ลัดเลาะตามไหล่เขา
มาเรื่อยๆ หนทางคราวนี้ไม่มีน้ำเหมือนอย่างเมื่อคืนที่เข้ามา แต่กลับมีแต่โคลน
โคลนล้วนๆ รวมถึงเนินที่แสนจะลาดชันอีกหลายต่อหลายเนิน เล่นเอาพวกเราสะบักสะบอมกันออกมาเลยทีเดียวครับ
จนออกมาทะลุบริเวณจุดชมวิว ของทางเข้าเหมืองปิล๊อก เราก็เดินทางลงเขามาตาม
ทางดำ ประมาณ 60 กิโลเมตร ก็ถึงตัวเมืองทองผาภูมิ ประมาณเวลาในขณะนี้
13.00 นาฬิกา กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง ว่าแล้วเราก็แวะ ข้าวแกง 19
หม้อ ที่เก่าของเราทุกครั้งเมื่อไปเยื่อนกาญจนบุรี ความคิดเห็นของเราช่วงนั้นเริ่มตรงกันขึ้นมาอีกครั้ง
ว่าอย่าไปต่อเลย " ลิ่นถิ่น " น่ะ คือต่างคนต่างหมดแล้ว ไม่ไหวแล้ว
ก็เลยตกลง แยกย้ายกันกลับก่อนดีกว่า หนทางที่จะถึงบ้านยังอีกหลายร้อยกิโล
เป็นอันว่าทริปนี้ก็จบลงด้วยความสนุกสนาน พร้อมความอ่อนเพลียกันทุกคน
...สำหรับทริปนี้พวกผมสวัสดีครับ.... รายงานความเสียหายที่เราได้รับในคราวนี้
LN106 คันเก่ง ตัวนำของเรา - หูโช๊คด้านหน้าทั้งสองข้าง ขาดกระจุย
เนื่องจากแรงบิดของตัวรถที่มีมากในเส้นทาง - น้ำท่วมตัวรถด้านในตามระเบียบ
Jeep Chorokee - ไฟหน้าทั้ง 2 ดวง แตก เนื่องจากเป็นแก้ว ร้อนจัด และ
โดนน้ำอย่างฉับพลัน เพราะเดินทางกันตอนกลางคืน - ช่วงล่างด้านซ้ายหน้า
บริเวณอาร์มรับน้ำหนักยุบ เนื่องจาก กระแทกกับก้อนหินอย่างแรง (เนฯไม่ดี)
- กระจกหน้ามีน้ำรั่วซึมเข้าด้านในได้ เนื่องจาก การบิดตัวอย่างหนักของตัวรถในเส้นทาง
- เบรคมีเสียงดังนิดหน่อย คาริเบียน น้องเล็ก - ตัวถังแถบด้านซ้ายยุบ
เนื่องจากการพลิกค่ำ ขณะลงล่องต่างระดับ(คนขับ และ ผู้โดยสารด้านในปลอดภัย)
- เครื่องยนต์ Over heat ตลอดเส้นทาง เนื่องจากต้องให้เกียร์ต่ำตลอดเส้นทาง
- บันไดข้างด้านขวา ตกลงด้านล่าง เนื่องจากต้องออกแรงในการขย่มตลอดเส้นทางการเดินทาง
- น้ำท่วมภายในตัวรถเช่นกัน
|