โขดหิน
และ ดินโคลน (กีบสมุทร ต้นน้ำแก่งหินเพิง จ.ปราจีนบุรี)
17-18 พย. 44
มาอ่านคนที่
21186
Truehits.net
ทริปนี้เป็นของชาวบูรพาออฟโรด
กลุ่มคนนอกถนนของภาคตะวันออก ที่รักในการเดินทางด้วยพาหนะ4x4 และท่องเที่ยวด้วยอุดมการณ์เดียวกัน....
ทริปนี้ดูเหมือนจะมีการเตรียมการที่ดี เริ่มจากมีทีมสำรวจเดินทางล่วงหน้า
เข้าไปเก็บข้อมูลต่างๆมาให้ก่อนหน้าแล้ว ก่อนการเดินทางในวันจริง เป็นผลทำให้
การเดินทางในทริปนี้ไม่มีปัญหา มากมายนัก การเดินทางเราแบ่งกันเป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มแรกเดินทางออกจากเมืองชลฯ มุ่งหน้าสู่ปราจีนบุรี ด้วยทางหลวงหมายเลข
304 และจอดรอที่นัดหมายแรกบริเวณแยกกบินทร์บุรี ภายในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง
ไม่นานนักกลุ่มที่2 ก็เดินทาง มาสมทบ ทริปนี้เรานับรถได้ทั้งหมด คือ หนูขาว(ผู้นำทริป),
กระรอกดำ , พี่พงษ์(ปลัดดำ) ,เล็ก(สามซ่าส์) ตามมาด้วยเพื่อใหม่ พี่ชวิลกับปาเจโร่เดิมๆ
พวกเราออกเดินทางกันทั้ง
5 คันมุ่งหน้าสู่เส้นทางเข้าแก่งหินเพิง บริเวณอำเภอนาดี ปราจีนบุรี สภาพเส้นทางเข้าแก่งหินเพิง
เป็นทุ่งนาข้าว ลดลั่นกันบนหุบเขา มันช่างเป็นภาพที่มองแล้วสบายตายิ่งนัก
ขบวนของเราเดินทางมาจนถึงแยกตัวT ที่มีป้ายบอกเราว่า เลี้ยวซ้ายอีก2กม.ถึงแก่งหินเพิง
แต่แยกนี้เราต้องเลี้ยวขวา เพื่อเข้าสู่ต้นน้ำแก่งหินเพลิง หรือ ที่ชาวบ้านแถบนั้นเรียกกันว่า
"กีบสมุทร" เส้นทางเข้ากีบสมุทร เดิมทีเป็นเส้นทางที่ เอกชนเดินทางเข้าไปสำรวจ
เพื่อจะใช้เป็นเส้นทางในการปล่อยแพยาง เพื่อล่องลำน้ำแก่งหินเพิง ที่มีต้นกำเนิดสายน้ำมาจากน้ำตกเหวนรก
ที่ป่าเขาใหญ่แต่เส้นทางการเดินทางยากเกินไป โครงการนี้จึงถูกยกเลิกไปโดยปริยาย
จากปากทางเข้าจนถึงสถานที่กางเต้นท์ ระยะทางอยู่ที่ 7.3 กิโลเมตร สภาพเส้นทางใน
4 กม.แรกเป็นเส้นทางออฟโรดเบาๆ ลัดเลาะทุ่งหญ้า สลับกับหินแม่น้ำก้อนกลมรายทาง
อันเป็นการนวดโช๊คอัฟ ก่อนเข้าสู่ 3 กม.สุดท้าย พ้นแนวทุ่งหญ้าออกมาแล้ว
พวกเราก็เจอกับเส้นทางที่ บรรดาเนว์ฯทั้งหลาย ต้องเดินลงมาทำหน้าที่ของตัวเอง
เส้นทางเป็นล่องโคลนลึกสลับหินก้อนใหญ่ รถที่เตี้ยๆคราวนี้มีปัญหาแน่ ประเดิมด้วยปาเจโร่
ของพี่ชวินไปติดกลางล่อง แขวนห้อยโตงเตงกับหินก้อนใหญ่ ทำให้ต้องออกแรงดึงกันอยู่พักใหญ่
ตามมาด้วย
ปลัดดำ(พี่พงษ์) ก็ติดเช่นกัน ในการสาระวนแก้ปัญหากันอยู่นั้นก็ปรากฏตัวของม้ากระโดด
ที่ตามมาจากระยองได้ทัน แก้ไขปัญหามาได้ พวกเราก็เดินทางต่อ มุ่งหน้าที่หมายอีก3
กม. และ แล้วเจ้ากระรอกดำก็แผงฤทธ์ เมื่ออยู่ๆก็ขี้เกียจ จะวิ่งซะยั่งงั้น(สตาร์ไม่ติด)
ดูจากอาการแล้วตีความว่าน้ำมันไม่เข้าเครื่องยนต์ ทำให้ดับไปเฉยๆเป็นผลให้ผู้ขับขี่
หัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม ว่าเที่ยวนี้ต้องลากกลับรึเปล่า..หว่า!! มุดเข้าไปดูในตำแหน่งปั๊มส่งจ่ายน้ำมันก็ถึงบางอ้อ....
เมื่อเห็นสายไฟของปั๊มติ๊ก หลุดขาดออกจากกัน ต่อเข้าแล้วลองสตาร์ทใหม่ก็ใช้ได้
เดินทางกันต่อไป ประมาณกิโลเมตรที่.5 เราก็ต้องเจอกับปัญหาหนัก เมื่อเส้นทางกลายเป็นหินล้วนๆ
ความสูงของหินแต่ละก้อน มันสามารถที่จะก่อความเสียหายกับช่วงล่าง ของพวกเราได้
เพราะฉนั้นการวางล้อในแต่ละล้อเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ทางอย่างนี้ต้องอาศัยเนว์ฯเพียงอย่างเดียวที่จะนำพารถเราให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด
ผ่านไปได้ไม่ยากนัก สำหรับJeepคันแรกของเล็ก(สามซ่าส์) แต่ทำให้ปาเจโร่ของพี่ชวิล
ถอดใจต้องจอดหลบไว้ข้างทาง หลีกทางให้กับหนูขาวกระเถิบ เดินหน้าขึ้นมา ผ่านเนินหินไปได้อย่างหวาดเสียวเช่นกัน
ตามด้วยฟอร์ดของท่านปลัดฯ คาเนินหินเหมือนกันเนื่องจาก ความสูงของตัวรถไม่เพียงพอ
แต่พวกเราก็ร่วมใจ นำความยาว และ ความเตี้ยของเจ้าฟอร์ท ผ่านไปได้ ทำให้พี่ชวิลใจชื้นขึ้นมา
ตัดสินใจจะนำเจ้าปาเจโร่ที่จอดแน่นิ่งลงข้ามเนินหินมาด้วย พี่ชวิลกระซิบบอกว่า
ไหนๆก็มาแล้ว ตรงนี่แหล๊ะ ไฮไลท์ของงานเลย ไม่มาได้ไง แล้วก็นำเจ้าปาเจโร่ค่อยๆต่วมเตี้ยมลงมา
แต่จะมีเสียงกึ้ง..กั้ง มั่งก็ไม่เป็นไร ผ่านมาได้อย่างสะใจ ตามมาด้วยกระรอกดำ
และ ม้ากระโดด ตามลำดับ แล้วพวกเราก็หยุดพักทานข้าวกลางวัน (ที่ปาเข้าไปบ่ายกว่า)
กันบนเนินผาน้ำตกข้างทาง ข้าวเหนียว+ไก่ย่างถูกนำออกมา ายบีมีเทคนิคฯมาบอกในการที่จะทานข้าวเหนียว
ไก่ย่างร้อนๆในระหว่างการเดินทาง เมื่อนายบีจอดรถ เปิดฝากระโปรง แล้วล้วงเอาถุงข้าวเหนียว+ไก่ย่าง
ที่ผูกอยู่อย่างแน่นหนาในฝากระโปรงออกมา พวกเราก็ได้ทาน ข้าวเหนียวร้อนๆนุ่มนวลเหมือนเดิม
(ใครจะจำไปใช้ก็ไม่ว่าอะไรนะครับ นายบีฝากบอกมา) อิ่มแล้วก็เก็บขยะเดินทางกันต่อ
ขบวนเคลื่อนตัวไปไม่นาน ก็จะเป็นเส้นทางลงเขาตลอด พวกเราต้องระวังกันมากขึ้น
และ แล้วเจ้ากระรอกดำก็ทำพิษเข้าอีกครั้ง เมื่อยางหน้าซ้ายไม่มีลมหายใจ เนื่องจากเกิดการทิ่มแทงของหิน
หรือตอไม้ ต้องออกแรงเปลี่ยนยางกัน อีกครั้งก่อนถึงจุดที่พักกางเต้นท์ 1
กม. พวกเราเดินทางมาถึงที่พักกับประมาณ4โมงเย็น ต่างคนต่างแยกย้ายกันทำภาระกิจส่วนตัว
บ้างก็รีบกางเต้นท์ บ้างก็รีบอาบน้ำ(กลัวหนาว) เสร็จแล้วเราก็มาร่วมกันทานข้าวเย็น
พูดคุยกันถึงเส้นทางที่ผ่านมา......... ..เวลาผ่านไปประมาณทุ่มเศษ สัญญาณจากวิทยุสื่อสารดังขึ้น
" บูรพา จากจิงโจ้ป่า " แว่วมาเป็นช่วงๆ ทุกคนเอี้ยวหูฝัง เสือเข้มทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานข่าวสาร
จับใจความว่า จิงโจ้ป่ากำลังเดินทางเข้ามา คันเดียวและไม่มีเนว์ฯมาด้วย (ช่างกล้าหาญจริงเชียว)
แต่ด้วยสัญญาของ ของผู้เป็นประธานชมรม ดึกยังไง ยากแค่ไหนก็ต้องมา ตอนนี้อยู่ที่กม.ที่4
รถติดไม่สามารถจะมาได้ ม้ากระโดดอาสาจะออกไปรับและช่วยเหลือ โดยพี่ณรงค์
และ นายบี สัญญานแจ้งเข้ามาเป็น
ช่วงๆ และ แล้วก็มีสิ่งที่ไม่คาดคิดอีกในความมืด เมื่อจิงโจ้ป่าแจ้งมาว่ากำลังมีรถเข้ามาอีกเมื่อมองผ่านความมืดย้อนกลับไป
ณ.จุดที่ติดอยู่ เมื่อใกล้เข้ามาจึงเห็นได้ชัดว่าเป็น "พี่ธเนศ(บ่อวิน)"
มาได้ไงเนี๊ย.!!! คันเดียว ไม่มีวินช์ ไม่มีวิทยุสื่อสาร และ เส้นทางก็รู้อยู่ว่าไม่ใช่นิ๊งหน่อง
ช่างกล้าหาญกว่า วะนี่กระไร แล้วเวลาก็ผ่านไป ม้ากระโดดกลับมาพร้อม เกียสปอร์เทค
ของพี่ธเนศ ...ให้เวลาสมาชิกที่มาใหม่ ได้ทานข้าวทานปลา แล้วเวลาที่ดีก็มาถึง
เมื่อประธานชมรมบูรพาออฟโรด จะทำการมอบสติ๊กเกอร์ เพื่อเป็นสัญญาลักษณ์แห่งชมรม
ให้กับสมาชิกใหม่ที่ดูใจกันมานาน นั่นคือ พี่ณรงค์(ม้ากระโดด) , โกกุย(อีกัวน่า)
,พี่พงษ์(ปลัดดำ) และ พี่ธเนศ(บ่อวิน) สมาชิกเดิมทุกคนตรบมือต้อนรับ ด้วยความยินดี
ช่างเป็นภาพ บรรยากาศเล็กที่แฝงไปด้วยความอบอุ่นของชมรมเล็กๆอย่างเรา พวกเราไม่ต้องการเด่น
พวกเราไม่ต้องการผู้คนจำนวนมากมาย เพื่อให้ดูยิ่งใหญ่ แต่พวกเราต้องการเพื่อนที่รัก
และ เสียสละซึ่งกันและกัน... เสียงหัวเราะหยอกล้อกันท่ามกลางลมหนาว คืนนี้มีดาวเต็มท้องฟ้าเมื่อมองผ่านยอดไม้ใหญ่ขึ้นไป
ทุกคนต่างเข้านอน ท่ามกลางเสียงเรไรขับกล่อม..zzzz
.......เช้านี้อากาศสดใส พี่พงษ์ตื่นมาต้มน้ำให้พวกเราก่อนใคร
กาแฟหอมกรุ่นกับขนมปังธรรมดาก็น่าจะพอสำหรับเช้านี้ เสือเข้มพลวดพาดขึ้นมาจากที่นอน
มองหาเหยื่อตกปลา แล้วขว้าเบ็ดหายไปทางสายน้ำ พักใหญ่กลับมาพร้อม..คันเบ็ดคันเดิม
(สงสัยปลาที่นี่จะฉลาดนะที่ไปติดเบ็ดเสือเข้ม) เสือเข้มเล่าว่าบรรยากาศริมธารน้ำสวยงามมาก
นกน้อยนาๆนับ
ชนิดไม่ทวน บินสลับกันมาอวดโฉมโดยไม่ขาดสาย ทั้งกระรอก กระแต ก็ออกมาหาผลไม้ป่าในยามเช้าอย่างนี้
บรรยากาศแบบนี้จะหาดูที่ไหนได้นอกจากป่าที่สมบูรณ์เท่านั้น... เมื่ออาบน้ำชำระร่างกายในตอนเช้าแล้ว
(พวกที่ยกยอดมาจากเมื่อคืนหลายคน) ก็เก็บเต้นท์เพื่อเตรียมเดินทางกลับ ไม่วายที่จะสำรวจขยะบริเวณรอบสถานที่ที่เราค้างแรมกัน
มันคือนโยบายของชมรมเราอยู่แล้ว โดยไม่ต้องบอกกล่าว หรือ บังคับให้ใครทำ
ทุกคนร่วมใจกันแป๊ปเดียวทุกอย่างก็กลับสู่สภาพเดิม
....เราตั้งขบวนเดินทางออก โดยวางการช่วยเหลือรถที่ไม่เต็มร้อยเป็นอย่างดี
ขากลับง่ายกว่าขาเข้ามาเยอะ แต่ก็ไม่วายเมื่อปาเจโร่ของพี่ชวิล ยางหมดลมไปอีกคัน
จำต้องออกแรงเปลี่ยนยางกันอยู่พักใหญ่ แล้วก็เดินทางออกมาด้วยความปลอดภัยกันทุกคน
.... เส้นทางที่ท้าทาย เป็นบทพิสูจน์น้ำใจให้แก่กัน....ขอขอบคุณเพื่อนๆที่ร่วมชะตากรรมในทริปนี้ทุกคนด้วยความจริงใจ
สำรับทริปนี้...สวัสดีครับ
รายงานโดย นายหนอน
เชิญร่วมแสดงความคิดเห็นเลยครับ
|
|