พฤหัสบดี,21 พฤศจิกายน 2567
 
[ Home ]

+ รายงานทริป
+ ทับสังกะสี1
+ ทับสังกะสี2
+ เหวอีอ่ำ (ขากลับ)

 

ทับสังกะสี อช.ทับลาน
6-7 กค. 45

มาอ่านคนที่ 5900 Truehits.net


   
ภาพกลุ่มออฟโรด เพื่อนไพร ปราจีนบุรี กว่า 10 คัน ที่มารอพวกเราที่ปากทางเข้า ที่ทำการอุทธยานแห่งชาติทับลาน (วังทะลุ) ด้วยบรรยากาศที่ครึกครื้นนั้นทำให้ พวกเรา กลุ่มบูรพา ที่ไปกันทั้งหมด 4 คัน นั้นต่างพากันตื่นเต้นกันไปด้วย และเมื่อยิ่งได้รู้ว่า ทั้งหมดที่มากันใน วันนี้ยังไม่มีใครได้ไปถึงทับสังกะสีด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เส้นทางลี้ลับของ ผืนป่าทับลานแห่งนี้ดูน่าสนใจ มากยิ่งขึ้นไปทีเดียว…

"ผมไปมา 2 ครั้งแล้ว แต่ยังเข้าไม่ถึงซะที.. คราวนี้ต้องไปถึงให้ได้" เป็นเสียงกล่าวออกตัวอย่างถ่อมตน จากชายไทยรูปร่างสันทัดซึ่งเป็น หัวหน้ากลุ่มเพื่อนไพร หรือที่พวกเราเรียกเค้าว่า..พี่จั๊บ..ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของ Jeep CJ ยาง Simax 35 " ด้วยหน้าตาอันดุดันซะจนที่ทำให้พวกเราถึงกับคิดในใจว่า... ขนาดรถแบบนี้ยังเข้าไม่ถึงอีกหรือ ???....

พวกเราใช้เส้นทางขึ้นเขาปักธงชัย จาก กบินทร์บุรี จนถึงหลักกิโลเมตรที่ 21 จึงเลี้ยวขวามุ่งสู่ที่ทำการ อุทยานแห่งชาติทับลาน (วังทะลุ) หลังจากขออนุญาติเจ้าหน้าที่ เรียบร้อยแล้ว โดยไ้ด้รับมิตรไมตรี จากเจ้าหน้าที่นำทางพวกเราเข้าสู่ป่าลึกด้านใน โดยสภาพ เส้นทาง ค้อนข้างเป็นผืนป่าที่ราบ ที่อุดมไปด้วยพรรณไม้นานาพันธ์ ที่เบียดเสียด กันหนาแน่น เหมือนกับพากันแย่ง หาพื้นที่รับแสงแดด ที่ส่องลงมา ยังพื้นที่น้อยเต็มที ด้วยเวลาเที่ยงวัน ขนาดนี้ แต่สภาพของป่า กลับขมุกขมัว มืดครึม เหมือนตอนเย็นย่ำก็ไม่ปาน ความดิบชื้นของ ผืนป่า และความสมบูรณ์ของพรรณไม้ถึงกับทำให้ แฟรชจาก กล้องออโตเมติก ต้องทำงาน ทุกครั้งเมื่อกดชัดเตอร์ !!! โดยสภาพเส้นทางเพียง แค่ชั่วโมงแรก ก็ทำให้พวกเราแปลกใจ ใน ความดิบของเส้นทางเหมือนราวกับว่า มีเพียงน้อยคนนักที่ได้มาเยื่อนบนเส้นทางลี้ลับเส้นทางนี้

ขบวนรถขับเคลื่อนสี่ล้อทั้งหมดพากันเคลื่อนที่ไปอย่างช้า ๆ โดยการนำของ พี่จั๊บ โดยรูปขบวน เป็นการสลับรถกัน ทั้งสองกลุ่มเรียกได้ว่าตอนนี้ ทั้งกลุ่มเพื่อนไพร และกลุ่มบูรพาได้สมาน ไมตรีกันเป็นกลุ่มเดียวกันแล้ว เพื่อพิสูจน์เส้นทางลึกลับที่ได้ถูกปิดมาแล้วนมนามที่ชาวบ้านแถบนี้เรียกขานที่แห่งนี้ว่า.." ทับสังกะสี "

สภาพป่าที่รกเรื้อมีลักษณะที่ดิบชื้น เถาวัลย์เส้นโตหรือเล็บเหยี่ยว อันแหลมคม เป็น สิ่งยืนยันได้ดีถึงความบริสุทธ์ ของผืนป่าแห่งนี้ (ทับลาน) ยานพาหนะของพวกเราหลายคันต้องเปิดไฟหน้ากัน เพราะแสงสว่างเที่ยงวันนี้ ไม่สามารถส่องลงมายังพื้นผิวดินได้มากนัก ร่องตื้น-ลึกของเส้นทาง ที่สลับกันไปมา สเหมือนเป็นสัญญาน บอกว่าเส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ถูกลืม หรือเลิกใช้มานานแล้ว เพียงช่วงหนึ่งกิโลเมตรแรก เราก็ต้องเจอกับ ร่องลำธารลึก ประมาณหัวเข่าแต่ถูกขั้นกลาง ด้วยก้อนหินที่มีขนาด โตเกือบ1เมตร รถที่เป็นระบบคานแข็งทุกคันผ่านกันได้อย่างสบาย แต่อาจจะลำบากนักสำหรับ บรรดาปีกนกทั้งหลายที่ไม่สามารถส่งกันได้เต็มที่นัก

แต่เมื่อผ่านอุปสรรค์แรกมาได้เพียงแค่เพียง ไม่กี่ร้อยเมตรก็ต้องเจอกับร่องลึกอีกประมาณ 1 เมตร ที่เกิดจากการทรุดตัวของผิวดิน หนำซ้ำแคบบีบเส้นทางซะจนเรียกได้ว่า เจ้าแมงหวี่ทั้งหลาย พากันตกร่องหมด และถ้าคิดจะผ่านก็ต้อง ผ่านกันไป ในลักษณะแบบ.. พิงๆ ไถๆ กันไปเรื่อยๆ จนกว่า จะขึ้น จากปลักนี้ได้… เสียงวิทยุสื่อสารดังขึ้นมาเป็นระยะ ๆ จากกลุ่มหน้า ที่เรียกระดมพล ร้องเรียกพรรคพวกอีกครั้ง " ไม้ล้ม… มาช่วยกันฟันหน่อย.." เป็นจุดสกัด พวกเราเบื้องหน้าที่สามารถพบเห็นกันตลอดเส้นการเดินทาง บางต้นที่ล้มขวาง อยู่นั้น แห้งตายมาแล้วเป็นปี เท่ากับยืนยันความบริสุทธ์ของเส้นทางนี้ได้ เป็นอย่างดี … สภาพช่วงกิโลเมตรที่สาม เริ่มเปลี่ยนระดับเป็นเนินเล็ก ๆ ที่มีก้อนหินและร่อง น้ำให้ใช้ทักษะกันอย่างเต็มที่ จนมาถึงช่วงโค้งหักศอก ที่คั่นกลางด้วยลำน้ำสายเล็ก ๆ


มาถึงตอนนี้ขบวนถูกแบ่ง เป็นหลายขบวน ไปโดยปริยาย ด้วยที่ว่ามีหลายครั้งที่ต้อง ลงมาช่วยกันวินช์เป็นระยะ ๆ แม้กระทั้งโค้งหักศอกนี้ แมงหวี่ ของพี่สามารถ (คานแข็ง) ก็ยังยอมถึงแม้จะมี เจ้า EZ Locker แล้วก็ตาม พวกเราผ่านร่องนี้กันได้ทุกคันโดยเท่าเทียม กันหมดคือ วินช์กันทุกคัน เส้นทางยิ่งลึกเข้าไปเรื่อยๆ ป่าเริ่มรกขึ้น อย่างเห็นได้ชัด มาถึงตอนนี้หนูขาวรับอาสา เป็นพลขับให้จิงโจ้ป่าแทน และต้องปิดกระจกทั้งสองข้าง เพื่อป้องกัน กิ่งไม้ และ เถาวัลย์ที่พร้อม ที่จะสะบัดเข้ามาในห้องโดยสารทุกๆตารางเมตรที่วิ่งผ่าน และแล้วแมงหวี่ของ นายเนส ก็ถึงกับเครื่อง Heat เพราะความรกชัฎของ กิ่งไม้ที่หักคาอยู่กับ พัดลมไฟฟ้าหน้าหม้อน้ำ จนถึงกับทำให้ พักลมไฟฟ้านั้นไม่สามารถ ทำงานได้อีกต่อไป เรียกได้ว่าต้องหยุดพักกัน เป็นระยะเพื่อเติมน้ำกัน

เวลาล่วงมาจนบ่ายคล้อยขบวนที่สองก็พากันมาทันขบวนหน้า พวกเราจึงหยุดรถและเดินลงไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า และแล้วพวกเราก็เห็นว่าขบวนหน้า ที่หยุดกันนั้นเพราะว่าเส้นทางนี้ได้ถูกปิดลง ด้วยสภาพความรก ของป่าที่ไม่มี แม้กระทั้งทางเดินเท้าให้กับมนุษย์หน้าไหนทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ผมตกใจและตื่นเต้นในตอนนั้นหาใช่เส้นทางที่ถูกปิดนี้ แต่ภาพที่ผมเห็นก็คือ

เสียงคำรามของเจ้าม้า02 ของพี่สมเดช ที่พยายามพลิกตัว ให้ขึ้นมาจากขอบเหวที่ลึกประมาณ 4 หรือ 5 เมตรที่เบื้องล่างเป็นบึงน้ำลึก โดยมีเพื่อน ๆ เราอีกหลายคนพากันกระโดดขึ้นไปยืนบนบันไดข้างเพื่อถ่วงน้ำหนัก เมื่อพวก เราทุกคนเห็นว่าเจ้าม้า02 กำลังจะพลิกตีลังกาลงไปหาบึงด้านล่าง…

เสียงตะโกนโวกเวกของพวกเรา ดังอึงอื้อกันด้วยความตระหนกตกใจกันไปทั้งราว ป่าจนเปลี่ยนมาเป็นเสียงหัวเราะกัน ในในที่สุดเมื่อเห็นได้ว่าพวกเราคุมสถานการณ์กันได้ แล้ว พี่จั๊บ รีบพาเจ้ายักษ์ใหญ่พร้อมสลิงเส้นโตมายึดขึงดึงเอาไว้ พร้อมทั้งรีบพาเจ้าแมงหวี่ อีกคันมาดึงด้านหัวรถเอาไว้ เสียงวินช์ทั้งสองคัน ดังผสานกับจังหวะสัญญานมือโดยผู้ที่ได้ รับหน้าที่ให้เป็นผู้ให้สัญญานเท่านั้น… ไม่นานนักเจ้าม้า02 ก็ถูกดึงขึ้น มาบนพื้นราบ โดยปลอดภัย ด้วยสภาพเส้นทางปิด ตอนนี้พวกเราพากัน ปรึกษาเจ้าหน้าที่ถึงเส้นทางที่ จะไปให้ถึงทับสังกะสี และแล้วพวกเรา ก็ต่างพากัน รู้ว่าตอนนี้เราพากันมาผิดทาง แต่ไม่เป็นไรเพราะด้วย ระยะทาง ไม่ไกลกันนัก พวกเราพากันกลับรถกลางป่า เพื่อย้อนกลับ ไปอีกเส้นทางที่ เราพึ่งผ่านกันมา สภาพเส้นทางนี้ไม่ต่างจาก เส้นทางแรก มากนัก ความรกชัฎยังคงอยู่เหมือน เดิมแต่แล้วเส้นทาง นี้ก็พาเรามาสิ้นสุดที่ " แก่งสังกะสี " ขนาดใหญ่ที่ขวางหน้าเรา ด้วนสายน้ำ เชี่ยวกรากสีปูน ที่บอกกับพวกเราว่า สายน้ำป่าอยู่ข้างหน้าเรานี่เอง … พวกเราหลายคนพยายาม หาหนทางข้ามกัน พี่จั๊บ และเพื่อนๆ พากันเสี่ยงอันตรายข้ามลำน้ำ นั้นเพื่อลากเอาสายสลิง ไปยึดกับหินก้อนใหญ่ อีกฝั่งน้ำเพื่อมายึดกับ เจ้าม้า02 (อีกแล้ว) ที่รับอาสาเป็นผู้ กล้าเสี่ยงข้ามลำน้ำเชี่ยวกรากนี้เป็นคันแรก แสงสว่างที่เลือนหายอย่างรวดเร็ว ในยามเย็นทำให้พวกเราต้อง เลื่อนการข้ามลำน้ำ ไปเป็นพรุ่งนี้ โดยตั้งแค้มป์กันที่ริมแก่งทับสังกะสี ท่ามกลางสายฝนพรำที่ลงมาเกือบทั้งคืน

… อาหาร กับแกล้ม ที่เพียบพร้อมหรือมากเหมือนกับน้ำใจจากมิตรไมตรีของคนต่างกลุ่มที่ได้มาร่วมทริปกัน เสียงหัวเราะ ขบขัน เริ่มจางหายไปตามเวลาล่วงยามดึก คงเหลือ แต่เสียงพูดคุยกันเบา ๆ แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ระหว่างกลุ่มก่อนที่จะแยกย้ายกันไป พักผ่อนกัน ..


เช้านี้..กลิ่นกาแฟ และไข่เจียวปลุกเราขึ้นมาเพื่อพร้อมที่จะลุยข้ามลำน้ำในวันใหม่ แต่แล้วเมื่อปราดสายตาไปที่สายน้ำ นั้นก็ต้องคิดในใจว่า .. ต่อให้มีเรื่อ หรือ แพ จะมีใคร ซักกี่คนที่กล้าข้ามสายน้ำนั้น… สายน้ำเส้นเดิมเส้นนั้นเปลี่ยนสภาพ เป็นสีแดงที่เชี่ยวกรากพร้อมที่จะพัดพาทุกสิ่ง ที่คิดจะเอาชนะ พวกเราทุกคนเปลี่ยนแผนทันทีที่จะไม่ข้ามลำน้ำสายนี้ ซึ่งทำให้หวนคิดไปว่า และถ้าพวกเราข้ามกันตั้งแต่เมื่อวานนี้หละ ???? วันนี้เราจะกลับกันอย่างไร !!


เส้นทางขากลับสร้างความลำบากให้พวกเรามากขึ้นเล็กน้อยเพราะฝนที่ตกพร่ำลงม าตั้งแต่เมื่อคืน แต่พวกเราก็ใช้เวลาไม่นานนัก กลับกันออกมาด้านนอก ได้โดยปลอดภัยกันทั้งหมด ไมว่าจะเป็นรถหรือคน คนสองกลุ่มใหญ่ ที่มาจากต่างที่กัน แต่ใจเหมือนกัน ต่างร่ำลากันพร้อมคำสัญญาว่าพวกเรา จะมาเจอกันใหม่เพื่อไปให้ถึง ทับสังกะสีให้ได้ โดยกลุ่มบูรพา พากันย้อน กลับไป อำเภอ ประจันตครามเพื่อกินปลา แสนอร่อย ๆ จากร้านอาหารท้องถิ่น ที่ไม่สร้างความผิด หวังในรสชาติ แถมซ้ำโดยการแนะนำ ของเจ้าถิ่นอย่างกลุ่มเพื่อนไพรอีกด้วย…

 


เวลาที่เหลืออยู่ครึ่งวันมันแปลก ๆ สำหรับชาวบูรพาที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน พวกเราเลยตกลงพากันไปสำรวจ เส้นทาง " เหวอีอ่ำ " แถบๆ อำเภอศรีมหาโพธิ์ กันซะเลย โดย สภาพเส้นทางไม่ไกลนักจากถนนหลวง เป็นเส้นทางปลูกป่า ของกรมป่าไม้ ที่ขึ้นเขาสูงชันที่ สภาพเส้นทางราดอัดแน่นด้วยหินกรวด ไม่ยากลำบากนักสำหรับพวกเรา เรียกได้ว่าเป็น เส้นทางที่เหมาะสำหรับ บรรดาออฟโรดที่ต้องการสถานที่สะสมประสบการณ์ ที่ต้องการได้สัมผัสวิวสวย ๆ โดยไม่ต้องการเสี่ยงภัยมากนัก เส้นทางป่าดิบเขาที่ทอดตัว บนทางยาว บนยอดเขาพาเรามาสิ่นสุดที่ลานกว้างที่ติดกับ สายน้ำตกขนาดใหญ่ ที่ทิ้งตัวลงสู่แอ่งน้ำด้าน ล่าง .. สายน้ำที่มากมายในฤดูฝน นี้ก่อให้เกิดเสียงดังโครมคราม และพัดพาละอองน้ำปลิวว้อนสร้างความสดชื่นให้กับพวกเรา ความสูงชันของหน้าผา ยามเมื่อชะโงกหน้ามองลงไปเบื้องล่าง ถึงกับทำให้หัวใจหวิว ๆ เอาพอสมควร ถ้าจะเล่นน้ำก็คงต้องเดินย้อน ขึ้นไปเล่นบริเวณต้นน้ำ ที่ไม่ไกลนัก


พวกเราสรุปส่งท้ายทริปทับสังกะสีด้วยการ สำรวจเส้นทางน้ำตกเหวอีอ่ำเป็น ทริป นอกเหนือโปรแกรมที่เราวางเอาไว้ ให้ความคุ้มค่าแก่เราด้วยความสวยของสายน้ำตกใหญ่ ที่เปรียบเสมือนน้ำใจ ไมตรีของกลุ่มเพื่อนไพร ที่ต้อนรับขับสู้พวกเรา เป็นอย่างดี ทุกครั้งที่มีคันไหนติดหล่ม หรือ เผชิญอุปสรรคใด ๆ ก็จะเห็นภาพคนกลุ่มสองกลุ่ม ที่ต่างวิ่งเข้ามาช่วยเหลือกันโดยไม่มีการแบ่งแยกใด ๆทั้งสิ้น ซึ่งเป็นภาพที่พวกเรา อดประทับใจไม่รู้ลืม และ นี่คงเป็นสิ่งที่พึ่งมีทุกครั้ง ในการเดินทางสำหรับ คอออฟโรดไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใดๆ ทั้งสิ้น


สุดท้ายของทริปนี้ ชาวบูรพาทุกคนขอปรบมือดังๆ ให้กับ พี่จั๊บ และเพื่อนๆ ชาวเพื่อนไพร ปราจีนบุรีทุกคน …ขอแสดงความขอบคุณ แล้วพวกเราจะพากันกลับไปอีกเพื่อพิชิต ทับสังกะสีให้ได้

สำหรับทริปนี้… สวัสดีครับ
หนูขาว
8 กรกฎาคม 2545


Home | Bicycle | Offroad | Fishing | Radio Control | GPS Corner | Second hand | Member area
Copyright © 2000, www.WeekendHobby.com, All right reserved.

Contact Webmaster